Aa
Aa
Aa

ตอนที่ 2

อาจารย์ข้าเป็นบ้าไปแล้ว

 

ขณะนี้เสียงจากระบบของพี่สาวแสนสวยก็ดังขึ้น : “ติ่ง การรับศิษย์เสร็จสมบูรณ์ ได้รับรางวัลคะแนนจริยธรรม 10 แต้ม!”

 

ภูผาราชันย์พิสุทธิ์

 

จ้าวชิงเหยาที่เดินตามเฉินหมิงมาตลอดทางจนถึงยอดเขาภูผาราชันย์พิสุทธิ์ เดินจนขาที่มีกล้ามเนื้อเพียงน้อยนิดของนางเจ็บแสบขึ้นมา จ้าวชิงเหยาถึงกับตำหนิขึ้นในใจว่า : ท่านอาจารย์มิใช่เซียนหรอกหรือไง? เหตุใดถึงไม่เหาะเหินเหยียบกระบี่ แต่กลับเดินด้วยเท้าทำไมกัน?

 

เฉินหมิงหันกลับไปมองจ้าวชิงเหยา ทราบดีว่าการที่ตนเองเดินทางโดยไม่เหาะเหินเหยียบกระบี่ย่อมน่าแปลกใจอยู่บ้าง จึงกล่าวขึ้นว่า : “สิ่งที่เรียกว่า ฝึกปรือ ก็คือการบรรลุวิถีฟ้าดินอันยิ่งใหญ่ในทุกชั่วขณะ การเดินตามข้ามาได้ตลอดทาง โดยที่เจ้าไม่พร่ำบ่นออกมาแม้เพียงครึ่งคำ ย่อมเห็นได้ว่าเจ้านั้นเป็นคนที่มีจิตใจอันเข้มแข็งที่ไม่เลว”

 

พูดเป็นเล่นไป เฉินหมิงมีหรือที่จะบอกนางว่าเขากลัวยามที่เหยียบกระบี่จะไม่ทันระวังจนเผลอถ่มน้ำลายใส่บุพการีตัวละครเอกจนได้?

 

ในใจจ้าวชิงเหยาบังเกิดความเลื่อมใสขึ้นมากยิ่งขึ้น ที่แท้ท่านอาจารย์ก็บรรลุเข้าถึงวิถีอันยิ่งใหญ่แห่งฟ้าดิน อีกทั้งกำลังทดสอบจิตใจของข้าอยู่ ท่านอาจารย์ช่างถือเป็นผู้สูงส่งยิ่งนัก!

 

แล้วก็นำพาจ้าวชิงเหยามาจนถึงภายในเรือนที่พักสำหรับฝึกปรือของตนเอง เฉินหมิงหันไปมองจ้าวชิงเหยา แล้วกล่าว : “รู้จักการกราบไหว้อาจารย์หรือไม่?”

 

จ้าวชิงเหยาพยักหน้าอย่างน่าเอ็นดู

 

เฉินหมิงจึงบอกจ้าวชิงเหยาว่าใบชาและกาน้ำชาวางอยู่ตรงไหน พร้อมกับไปนั่งพิงอยู่บนเก้าอี้หวายด้วยท่าทางสบาย แล้วมองจ้าวชิงเหยาที่ไปชงชาอย่างไม่ใส่ใจ พลางขบคิดว่า นังหนูผู้นี้ดูไปแล้วก็ถือว่าน่ารักน่าชังเลยทีเดียว ทั้งผิวพรรณที่เนียนนุ่มมีน้ำมีนวล ผิวขาวผุดผ่อง คิ้วที่เรียวได้รูปดุจใบหลิวทั้งสองข้าง แววตาที่คล้ายกับหยาดน้ำที่หยดลงอย่างไร้สุ้มเสียง

 

ช้าก่อน!

 

เหตุใดถึงเป็นเด็กสาวกันเล่า!

 

ที่แท้นี่ก็คือนิยายที่มีตัวเอกเป็นสตรีหรอกหรือ?

 

จบสิ้น จบสิ้นแล้ว ตัวเอกเป็นสตรี มิใช่ว่ามักจะชมชอบมีความรักกับอาจารย์ เหมือนอย่างเรื่องสามชาติสามภพอะไรนั่นหรอกหรือ? แล้วจากนั้นผมก็จะกลายเป็นหนึ่งในนางสนมในวังของจ้าวชิงเหยา จนกลายเป็นปฐมบทในตำนานรักไป!

 

ขณะที่เฉินหมิงกำลังครุ่นคิดวุ่นวาย จ้าวชิงเหยาก็ยกชาด้วยมือทั้งสองข้าง คุกเข่าลงเบื้องหน้าเฉินหมิง กล่าวด้วยน้ำเสียงที่นับถือเลื่อมใสว่า : “ท่านอาจารย์โปรดดื่มน้ำชา”

 

เฉินหมิงจิบชาเข้าไปหนึ่งคำ พร้อมกับหันไปมองจ้าวชิงเหยาที่อยู่เบื้องหน้า แล้วกล่าว : “ชิงเหยาเอ่ย เจ้าคิดว่านามหลงอ้าวเทียน [1] นี้เป็นอย่างไรบ้าง?”

 

จ้าวชิงเหยามีเส้นผมสีดำเงางาม เหตุใดอาจารย์ถึงเอ่ยคำถามที่ประหลาดพิสดารเช่นนี้กัน : “ฟังดูแล้วน่าเกรงขาม”

 

เฉินหมิงสาดแววตามองไปที่จ้าวชิงเหยา หากเด็กสาวเปลี่ยนชื่อเป็นหลงอ้าวเทียนคงจะดูไม่ค่อยเหมาะสม ช่างเถอะ ช่างเถอะ : “ชิงเหยา ยังมีคนในครอบครัวอยู่หรือไม่?”

 

จ้าวชิงเหยากล่าว : “ศิษย์ยังมีน้องชายอีกหนึ่งคน ได้ถูกเจ้าเมืองจับตัวไปเป็นทาส”

 

เฉินหมิงมีสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในใจกลับรู้สึกเบิกบาน นี่จึงถือเป็นแบบฉบับที่พึงจะเรียบเรียง คนในครอบครัวของหญิงสาวตายกันจนหมด คงเหลือแต่เพียงน้องชายที่ถูกเจ้าเมืองจับตัวไปเป็นทาส สาวน้อยจึงต้องร่อนเร่ข้ามพันเขาหมื่นธาร มาเพื่อฝากตัวเข้าสู่สำนักเซียน เมื่อฝึกปรือเสร็จค่อยหวนกลับไป เปิดศึกเข่นฆ่าไปทุกสารทิศ สังหารศัตรูจนวอดวาย!

 

ดื่มชาไปอีกคำ เฉินหมิงก็กล่าวว่า : “เอาละ ข้าดื่มชาของเจ้าแล้ว บัดนี้ข้าก็คืออาจารย์ของเจ้า”

 

จ้าวชิงเหยาจึงหันไปมองเฉินหมิง แล้วกล่าว : “ท่านอาจารย์ พรสวรรค์ของข้านั้นด้อยยิ่งนัก เกรงจะทำให้ท่านอาจารย์ขายหน้า”

 

เฉินหมิงยิ้มแล้วกล่าว : “ไม่ ไม่ ไม่ ในสายตาของข้า เจ้ากลับเป็นผู้มีพรสวรรค์ในระดับสัตว์ประหลาดเลยล่ะ”

 

จ้าวชิงเหยา : “อา?”

 

เฉินหมิงกระแอมไอในลำคออยู่สองครา พร้อมกับกล่าวว่า : “สภาวะร่างกายของทุกคนล้วนแต่แตกต่างกัน มีความเป็นไปได้ที่เจ้ายังไม่ได้กรุยเส้นลมปราณหลักของตัวเอง ดังนั้นตอนนี้จึงยังไม่มีประกายความเป็นตัวเอกอันเจิดจรัสให้เห็นได้ชัดเจน”

 

จ้าวชิงเหยาแสดงเครื่องหมายสงสัยอยู่เต็มใบหน้า “กรุยเส้นลมปราณหลัก? ประกายเจิดจรัสตัวเอก? แต่ว่าท่านอาจารย์ ข้าฝึกปรือมาเจ็ดปีแล้ว ยังอยู่เพียงแค่ขอบเขตกลิ่นอายวิถีขั้นที่หนึ่งเท่านั้น”

 

เฉินหมิงกล่าว : “สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องเล็กน้อย เจ้าลองฝึกปรือให้อาจารย์ดูสักรอบหน่อย”

 

จ้าวชิงเหยานั่งขัดสมาธิบนหินอ่อนก้อนหนึ่งภายในใจกลางสวน เริ่มต้นฝึกปรือ สิ่งที่เรียกกันว่าขอบเขตกลิ่นอายวิถี ก็คือการดูดซับปราณบริสุทธิ์เข้าสู่เส้นโลหิตภายในร่าง เมื่อเลือดดูดซับปราณบริสุทธิ์ไหลเวียนอยู่ภายในร่าง จะทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้น คงมีแต่ร่างกายที่แข็งแกร่ง จึงจะแบกรับลมปราณขอบเขตสู่วิถีเข้าสู่ร่างกายได้ ถึงจะสำเร็จจนกลายเป็นบ่อปราณภายในร่าง

 

โดยทั่วไปภายในร่างกายของผู้ฝึกปรือจะมีเส้นโลหิตทั้งหมดสิบเส้น ในทุกๆ เส้นโลหิตเมื่อได้กรุยออกมาก็จะเพิ่มพูนระดับขึ้นหนึ่งขั้น

 

จ้าวชิงเหยาเริ่มเชื่อมต่อลมปราณระหว่างฟ้าดิน ในขณะที่เฉินหมิงยังไม่ทันตั้งตัวก็มีสายลมคลั่งหอบหนึ่งพัดเข้ามา ลมปราณระหว่างฟ้าดินรวมตัวกันขึ้นจนกลายเป็นเกลียวคลื่นพุ่งรวมกันที่จ้าวชิงเหยา หนังตาของเฉินหมิงกระตุกไปมา สมกับที่เป็นตัวเอก แค่ขอบเขตกลิ่นอายวิถีขั้นที่หนึ่ง สภาวะการฝึกปรือยังเหนือกว่าขอบเขตกลิ่นอายวิถีขั้นที่เจ็ดไปแล้ว ด้วยปริมาณลมปราณเช่นนี้ แทบจะเรียกได้ว่าเป็นระดับสัตว์ประหลาดเลยก็ว่าได้

 

เฉินหมิงหันไปมองจ้าวชิงเหยา ยื่นมือไปวางทาบบนแผ่นหลังของจ้าวชิงเหยา สัมผัสถึงลมปราณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเส้นโลหิตภายในร่างจ้าวชิงเหยา พริบตานั้นก็เกิดคำถามขึ้น ช่างผิดปกติเกินไปแล้ว ผู้อื่นล้วนแต่มีความบริสุทธิ์อยู่ภายในเส้นโลหิต แต่เหตุใดเจ้าถึงมีความบริสุทธิ์อยู่ทั้งร่างกัน!

 

ไม่แปลกใจเลยที่หลายปีมานี้เจ้ายังอยู่ในขอบเขตกลิ่นอายวิถีขั้นที่หนึ่ง ผู้อื่นที่ฝึกปรือต่างมีความบริสุทธิ์ในเส้นเลือดเพียงสิบสาย เจ้ากลับมีความบริสุทธิ์อยู่ทั่วร่าง นี่ช่างเป็นคุณสมบัติที่มหัศจรรย์อะไรเยี่ยงนี้ หรือจะบอกได้ว่า นี่มิใช่คุณสมบัติในตำนานที่ใช้เพื่อฝึกปรือขอบเขตกลิ่นอายวิถีทั้งหมดแปดสิบเอ็ดขั้นอย่างงั้นหรอกหรือ?

 

จำได้ว่า หากคิดจะปลุกให้คุณสมบัติชนิดนี้ตื่นขึ้นมานั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยากเป็นอย่างยิ่ง เนื่องด้วยต้องใช้ศิลาปราณจำนวนมาก และศิลาปราณนี้ยังเสมือนดั่งสมบัติล้ำค่าในขอบเขตสู่วิถี ซึ่งเป็นสมบัติที่มีเพียงผู้อยู่ในขอบเขตสู่วิถีจึงจะสามารถใช้ได้ คงมีแต่ตัวเอกเท่านั้น ที่เมื่อฝึกปรืออยู่ในขอบเขตกลิ่นอายวิถีก็ได้ใช้สิ่งของที่ผู้อยู่ในขอบเขตสู่วิถีใช้

 

เฉินหมิงปลุกจ้าวชิงเหยา พร้อมกับหยิบศิลาปราณออกมาจากภายในอกเสื้อ แล้วกล่าวว่า : “เจ้าทดลองใช้สิ่งนี้ฝึกปรือดู”

 

จ้าวชิงเหยาหันไปมองเฉินหมิง พร้อมกับแสดงสีหน้าหวาดกลัวขึ้นเล็กน้อย “ท่านอาจารย์ นี่ก็คือศิลาปราณที่มีเฉพาะขอบเขตสู่วิถีเท่านั้นจึงมีคุณสมบัติที่จะใช้ได้ ในหมู่ขอบเขตกลิ่นอายวิถี มีแต่ต้องเข้าถึงขั้นที่สิบเท่านั้นจึงจะสามารถใช้ได้ มิเช่นนั้นร่างจะระเบิดแหลกลาญและตายไป”

 

เฉินหมิงส่ายหน้าอย่างไม่ถือสา แล้วกล่าว : “วางใจข้าเถอะ เจ้าใช้ได้ตามสะดวก มีท่านอาจารย์อย่างข้าคอยดูอยู่ อย่าได้เกรงกลัวต่อสิ่งใด”

 

จ้าวชิงเหยาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งหยิบศิลาปราณมาก้อนหนึ่งเริ่มต้นดูดซับลมปราณ แล้วต้องตกใจเมื่อพบว่า ตัวเองกลับไม่รู้สึกถึงการถูกเติมเต็มลมปราณจนมากเกินไป หรือกระทั่งไม่รู้สึกถึงร่างที่จะแตกระเบิด ท่านอาจารย์ช่างสมกับเป็นยอดคนอย่างแท้จริง!

 

ภายใต้ความยินดี จ้าวชิงเหยาทุ่มเทดูดซับศิลาปราณเหล่านี้อย่างสุดกำลัง เฉินหมิงกวาดตามองวูบหนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีปัญหาแล้ว จึงเดินออกไปจากสวน บ่าวรับใช้เฒ่าผู้หนึ่งเดินเข้ามาถามว่า : “คุณชายมีเรื่องใดให้ข้ารับใช้?”

 

เฉินหมิงชี้ไปยังจ้าวชิงเหยาที่อยู่ภายในสวน จากนั้นกล่าวขึ้นว่า : “เหล่าฟัง นี่เป็นลูกศิษย์ข้า เห็นแล้วหรือไม่ นางยังมีน้องชายอยู่อีกคนที่ถูกเจ้าเมืองจับตัวไปเป็นทาส เจ้าเข้าใจแล้วหรือไม่”

 

เหล่าฟังเผยสีหน้ากระจ่างแจ้งแจ่มชัด แล้วกล่าว : “บ่าวเข้าใจแล้ว บ่าวจะส่งทหารสามพันนายไปทำลายจวนเจ้าเมืองผู้นั้น รับรองได้ว่ากระทั่งหญ้าสักเส้นก็จะไม่มีชีวิตรอดไปได้ จากนั้นจะพาตัวน้องชายของคุณหนูชิงเหยากลับมา! เช่นนี้แล้ว คุณหนูชิงเหยาก็จะฝึกปรือได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องไปพะวงถึงเรื่องอื่นใดอีก”

 

เฉินหมิงตบเข้าไปที่ศีรษะของเหล่าฟังไปหนึ่งฝ่ามือ แล้วด่าทอว่า : “เจ้าเข้าใจกับผีสิ! ส่งผู้อยู่ในขอบเขตสู่วิถีสักคนออกไป”

 

เดิมทีเหล่าฟังยังคิดว่ากองทัพสามพันนายก็โหดร้ายพอแล้ว ผู้ใดจะไปทราบว่าเฉินหมิงจะโหดร้ายยิ่งกว่า ถึงกับให้ส่งผู้อยู่ในขอบเขตสู่วิถีไปฆ่าเจ้าเมืองผู้นั้น

 

“บ่าวเข้าใจแล้ว ข้าจะให้ท่านอ๋องส่งข้ารับใช้ที่อยู่ในขอบเขตสู่วิถีไปฆ่าเจ้าเมืองผู้นั้น แล้วช่วยน้องชายของคุณหนูชิงเหยาออกมา!”

 

เฉินหมิงตบบ่าของเหล่าฟัง แล้วกล่าว : “ไม่ใช่ เหล่าฟัง เจ้าก่อนหน้านี้ที่ฉลาดหลักแหลมไปหาความสุขในหอแดงแล้วไม่จ่ายเงินหายไปไหนแล้ว? หากว่าเจ้าฆ่าเจ้าเมืองผู้นั้นแล้ว เช่นนั้นด่านทดสอบของศิษย์ข้าจะไปหามาจากไหน จะไปหาบอสให้สู้จากไหนอีก? หากเจ้าทำให้แผนการของข้าไม่สัมฤทธิผลขึ้นมาเล่า? ถ้าข้ามด่านนี้ไปจะไปต่อได้อย่างไร? แค่ส่งขอบเขตสู่วิถีสักคนไปคอยจับตาดูน้องชายของศิษย์ข้า ขอเพียงไม่เกิดเรื่องที่อันตรายถึงแก่ชีวิตหรือพิการ ก็แล้วแต่พวกเขาจะจัดการ เถอะ ทางที่ดีที่สุดจงอย่าได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว เพียงชิงเหยาเกิดความเจ็บปวดสักรอบ ความเจ็บปวดก็จะเป็นพลังในการบรรลุ นั่นจึงเรียกได้ว่าเป็นความสมบูรณ์แบบสิ! จากนั้นสิ่งแรกที่ชิงเหยาจะทำคือการฆ่าบุตรชายเจ้าเมืองอะไรนั่น เจ้าเมืองผู้นั้นย่อมต้องส่งญาติพี่น้องยอดฝีมือขอบเขตกลิ่นอายวิถีขั้นที่แปดขั้นที่เก้าออกมา เพื่อทำให้ชิงเหยาได้รับบทเรียนสักรอบ ในเวลานี้ ก็ให้พวกข้ารับใช้ผู้นั้นไปช่วยชิงเหยากับน้องชายนางออกมาก็เป็นใช้ได้แล้ว”

 

เหล่าฟังถึงกับต้องเกาหัวไปมา

 

เฉินหมิงกวาดตามอง : “เป็นไรแล้ว?”

 

เหล่าฟังตอบ : “ดูวกวนชอบกล”

 

เฉินหมิงกล่าว : “เจ้าจะไปสนใจให้มากความทำไม แค่ทำตามที่ข้าสั่งก็พอ!”

 

เหล่าฟังกล่าว : “เจ้าเมืองผู้นั้นเป็นเพียงแค่แมลงตัวหนึ่ง หากเขาทราบว่าคุณหนูชิงเหยาได้กราบเป็นศิษย์ในความดูแลของคุณชาย แล้วทำการปล่อยตัวน้องชายของคุณหนูชิงเหยาจะทำอย่างไร?”

 

เฉินหมิงทอแววตาสว่างวาบ “แค๊ก เหล่าฟัง เจ้าฉลาดขึ้นแล้ว เช่นนั้นก็ส่งกองทัพไปอีกหนึ่งหมื่น ปิดล้อมทั้งเมืองให้ข้า อย่าให้มีข่าวที่ไม่พึงประสงค์เล็ดลอดเข้าไปได้!”

 

เหล่าฟังถึงกับยืนสงบไว้อาลัยให้กับเจ้าเมืองผู้นั้นอยู่รอบหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “บ่าวผู้ชราจะไปจัดการทันที!”

.

.

.

.

 

 

 

[1] หลงอ้าวเทียน มีความหมายว่า มังกรหาญฟ้า

Comment

  • ไม่มีคอมเม้น