บทที่ 1
ระบบผูกพัน
ในขบวนรถไฟใต้ดินอันสว่างไสว
หลินซีแบกเป้เอาไว้บนหลังพลางมองไปยังป้ายไฟที่กำลังกะพริบปริบๆด้วยสายตาว่างเปล่า
การทำโอทีอย่างต่อเนื่องทำให้หัวสมองของเธอไม่ค่อยแล่นเท่าไร
ในขบวนรถไฟกลางดึกแบบนี้มีคนกลับบ้านค่ำอยู่ประปราย ส่วนมากเป็นพวกพนักงานทำโอที
และนี่ก็ถือเป็นเรื่องน่าเศร้าของคนเมือง
หลินซีเพิ่งจะเรียนจบมาก่อนจะหางานได้อย่างยากลำบาก
ทุกวันเธอต้องยุ่งจนหัวปั่นอยู่กับการหาเงินได้เพียงเล็กน้อย เงินก็น้อย งานก็เยอะ
แถมยังไกลบ้านอีก แต่ยังดีที่เธอไม่มีภาระอะไร ตั้งแต่พ่อของเธอจากโลกนี้ไป
หลังจากแม่แต่งงานใหม่ห้องชุดเล็กๆแถบชานเมืองก็กลายเป็นบ้านของเธอแต่เพียงผู้เดียว
เธอหาเงินได้ไม่มากเท่าไร แต่มันก็ยังพอใช้
บ้านหลังนั้นไม่ได้ใหญ่โตอะไรเธอจึงสามารถอยู่ได้อย่างสบายๆ
ชีวิตที่ไม่ได้ดีเลิศแต่ก็ไม่ได้ย่ำแย่ทำให้ในความคิดของหลินซีไม่มีความทะเยอทะยานและรู้สึกพอใจกับสภาพความเป็นอยู่ในปัจจุบัน
เมื่อได้ยินเสียงแจ้งเตือนสถานีถัดไปหลินซีก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังประตูทางออกของรถไฟใต้ดิน
เมื่อเดินออกจากสถานีรถไฟใต้ดินเธอก็เดินข้ามถนนออกไป นี่เป็นเขตเมืองเก่าของเมืองS ทั้งๆที่ห่างกันเพียงถนนกั้นแต่มันกลับแตกต่างกันราวกับโลกสองใบ
ที่ตรงนี้คือเขตเมืองใหม่ที่มีแสงไฟสว่างไสวในขณะที่ตรงนั้นกลับเป็นเขตเมืองเก่าที่เต็มไปด้วยความทรุดโทรม
บ้านในเขตเมืองเก่าส่วนใหญ่จะสร้างขึ้นมาตั้งแต่เมื่อ 50-60 ปีที่แล้ว
มีบางส่วนที่เป็นกึ่งไม้กึ่งอิฐ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็จะเห็นสายไฟระโยงระยางเต็มไปหมด
บนกำแพงก็มีป้ายโฆษณาแผ่นน้อยแปะอยู่สะเปะสะปะ
การก่อสร้างเมืองที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมาลืมเลือนพื้นที่แห่งนี้ไปจนหมดสิ้นและทำให้ที่แห่งนี้หลงเหลือไว้เพียงร่องรอยตามกาลเวลา
ร้านขายของตลอดสองข้างทางต่างนำโต๊ะเก้าอี้ขึ้นมากางอยู่บนทางเดินเท้า
ซุ้มรถเข็นมากมายหลากหลายชนิดล้วนเป็นที่นิยมของถนนสายนี้
แถมเขม่าควันที่สะสมมานานหลายปีก็ทำให้พื้นถนนแห่งนี้สกปรกและมีกลิ่นเหม็นฉุนรุนแรง
หลินซีหยิบแบงก์ 20 หยวนใบหนึ่งยื่นส่งให้พ่อค้า “พ่อค้า ข้าวผัด 1
จานเพิ่มเนื้อสันใน 1 พวง”
“ได้เลย! ห่อกลับบ้านไหม?” พ่อค้ารับเงินไปแล้วถามเธอมาอีกประโยค
“ค่ะ” หลังจากนั้นไม่กี่นาทีกล่องข้าวผัดร้อนๆก็ถูกยื่นส่งให้หลินซี
เธอถือกล่องข้าวเอาไว้แล้วเดินกลับบ้าน บ้านของหลินซีอยู่ที่ชั้น 5
การตรวจจับของหลอดไฟที่ถูกควบคุมด้วยเสียงในทางเดินของตึกหลังนี้ค่อนข้างย่ำแย่ เธอต้องกระทืบเท้าหนักๆลงไปสักครั้งหลอดไฟถึงจะสว่างขึ้นมาได้
จากนั้นหลินซีก็เปิดประตูออกจนพบเข้ากับห้องเล็กๆ ว่างเปล่า เธอกินข้าวอยู่ 2-3
คำก่อนจะไปอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย เธอมองไปยังโทรศัพท์มือถือของตัวเองแวบหนึ่งก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลา
11:35 น. แล้ว หลินซีทิ้งร่างลงบนเตียงแล้วเตรียมพร้อมนอนหลับ วันพรุ่งนี้ยังต้องทำงานอีก
ตอนนี้จึงจำเป็นต้องนอนแล้ว
แต่ในสมองที่กำลังตื่นตัวกลับไม่ฟังคำสั่งของเธอเลยแม้แต่นิดเดียว หลินซีพลิกตัวอีกครั้งแล้วพยายามนอนหลับ
แต่ขณะที่เธอกำลังสะลึมสะลือ จมูกของเธอก็ได้กลิ่นไหม้ลอยมาจางๆ
“บ้านไหนทำกับข้าวแล้วไม่ระวังจนทำไฟไหม้เนี่ย”
แต่ทันใดนั้นหลินซีที่กำลังนอนหลับอยู่ก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา
เธอรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง จากนั้นเธอก็รีบผุดลุกขึ้นมาจากเตียงทันที
นี่เป็นเวลากลางดึกแล้วใครที่ไหนจะยังมาทำกับข้าวอยู่อีก
เมื่อเธอรีบร้อนสวมเสื้อผ้าแล้วเปิดประตูออกมาเธอก็พบว่าบริเวณทางเดินของตึกมีควันสีดำลอยอยู่เต็มไปหมด
หลินซีรีบปิดประตูลงตามสัญชาตญาณ ตอนนี้น่าจะมีไฟไหม้
เมื่อตระหนักได้เช่นนั้นแล้วร่างกายของหลินซีก็สั่นสะท้านขึ้นมาทันที
เธอรีบพุ่งไปยังห้องน้ำแล้วนำผ้าขนหนูมาชุบน้ำปิดปากปิดจมูกของตัวเองเอาไว้ก่อนจะขดตัวเข้าหากัน
นี่เป็นทักษะที่เธอเรียนรู้มาจากตอนที่สำนักงานตึกจัดการฝึกฝนป้องกันเพลิงไหม้เมื่อหลายเดือนก่อน
บนทางเดินของตึกมีผู้อยู่อาศัยหลายคนวิ่งออกมาบ้างแล้ว บางครอบครัวก็พบกับเพลิงไหม้จนต้องรีบช่วยชีวิตเด็กและคนชราไปก่อน
ส่วนบางครอบครัวก็กำลังหลับลึกจนไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆภายในห้อง
ผู้อยู่อาศัยเกินกว่าครึ่งของตึกแห่งนี้ล้วนเป็นเพื่อนบ้านเก่าแก่มานานหลายปี
หลินซีลังเลอยู่สักพักก่อนที่เธอจะตัดสินใจครั้งสำคัญขึ้นมาในที่สุด
เธอรีบวิ่งลงไปชั้นล่างแล้วเคาะประตูของผู้อยู่อาศัยทุกบานพร้อมตะโกนออกมาเสียงดังลั่น
“รีบตื่นเร็วเข้า ไฟกำลังไหม้แล้ว!”
แต่เมื่อเธอวิ่งลงมาจนถึงชั้น 2 ภายในทางเดินของตึกก็เต็มไปด้วยกลุ่มควันหนาแน่นจนทำให้เธอมองเห็นเพียงแสงไฟเลือนรางที่สว่างวาบขึ้นมาจากชั้น
1
ในขณะที่หลินซีกำลังลังเลใจอยู่นั้นเธอก็รู้สึกว่าเสื้อของเธอถูกใครบางคนดึงเอาไว้
เมื่อเธอหันกลับไปมองอีกครั้งก็พบว่าคนคนนั้นคือคุณยายจ้าวที่อาศัยอยู่ชั้น 2
คุณยายอาศัยอยู่ที่นี่เพียงลำพังแถมยังมีอายุมากแล้วเธอจึงเดินไปไหนมาไหนได้ไม่ค่อยสะดวก
คุณยายใช้มือข้างหนึ่งปิดปากปิดจมูกของตนเองขณะที่ใช้มืออีกข้างหนึ่งดึงชายเสื้อของหลินซีเอาไว้
เมื่อมองไปยังดวงตาขอร้องอ้อนวอนของคุณยาย หลินซีก็เข้าใจความต้องการของเธอได้ทันที
หลินซีกัดฟันแน่นก่อนจะใช้มือหนึ่งจับแขนของคุณยายเอาไว้พร้อมใช้มืออีกข้างปิดปากปิดจมูกของตัวเองแล้วพุ่งเข้าไปในกลุ่มควันหนาแน่น
นี่เป็นเส้นทางที่เธอเดินผ่านมานานหลายปีดังนั้นต่อให้ปิดตาเดินหลินซีก็ยังสามารถเดินออกไปได้
เพราะคนที่เธอพาเดินออกไปด้วยเดินได้ไม่ค่อยสะดวก
ความเร็วของหลินซีจึงลดลงมากอย่างเห็นได้ชัด แต่ในที่สุดเธอก็พุ่งออกไปจากกลุ่มหมอกควันสีดำได้สำเร็จ
หลินซีอยากจะสูดหายใจเอาอากาศสดชื่นเข้าไปให้เต็มปอดแต่หลังจากที่เธอเดินออกมาจากประตูเหล็กได้เพียงไม่กี่ก้าวเธอก็รู้สึกว่าภาพตรงหน้าพลันดับวูบลงก่อนที่ร่างของเธอจะทรุดฮวบลงไปกับพื้น
กระทั่งเธอได้สติขึ้นมาอีกครั้งภาพอันน่าประหลาดใจก็ปรากฏสู่สายตาของเธอ
หญิงสาวคนหนึ่งกำลังนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยอย่างเงียบงัน
บนใบหน้าของเธอมีหน้ากากออกซิเจนสวมทับเอาไว้ขณะที่บนร่างกายก็มีท่อระโยงระยางเต็มไปหมดโดยมีเครื่องวัดสัญญาณชีพกำลังทำงานอยู่ด้านข้าง
คนที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยก็คือคนที่หลินซีสุดแสนจะคุ้นเคย นั่นไม่ใช่เธอหรอกเหรอ?
หลินซีอีกคนหนึ่งรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังล่องลอยอยู่กลางอากาศ และถึงแม้เธอจะพยายามตะโกนออกไปเสียงดังแค่ไหนก็ไม่มีใครได้ยินเสียงตะโกนของเธออยู่ดี
เธอลองวิ่งไปจับมือของตัวเองแต่มือของเธอก็ทำได้เพียงทะลุผ่านกายเนื้อนั้นไปเท่านั้น
หลินซีกลืนน้ำลายลงคอเอื้อกใหญ่ เธอไม่เข้าใจสถานการณ์ของตนเองในตอนนี้เลย
แต่ในตอนนั้นเองเสียงเอไออันเย็นเยียบก็ดังขึ้นมา “เธอเห็นตัวเองหรือยัง?”
“ใคร ใครกำลังพูดอยู่น่ะ?” หลินซีสะดุ้งสุดตัวเพราะเสียงนั้นพลางหันมองไปรอบๆ
ตอนนี้บริเวณรอบๆนอกจากอุปกรณ์ทางการแพทย์แล้วก็มีแค่ผู้ป่วยที่ยังไม่ได้สติอยู่คนหนึ่ง
จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงเอไอดังขึ้นมาอีกครั้ง “ยื่นมือของเธอออกมาสิ แล้วเธอจะได้มองเห็นฉัน”
หลินซียื่นมือขวาของตัวเองออกมาโดยไม่รู้ตัว
ในฝ่ามือของเธอปรากฏหน้าจอที่มีขนาดพอๆกับ iPad ขึ้นมาอันหนึ่ง
และบนหน้าจอนั้นยังฉายภาพลูกบอลการ์ตูนลูกเล็กๆสีน้ำเงินกำลังเบิกตาโพลงสบตาอยู่กับหลินซีด้วย
“นายเป็นใครน่ะ?” หลินซีรู้สึกเอ็นดูตัวการ์ตูนตรงหน้าจริงๆ เมื่อเห็นท่าทางไม่มีพิษมีภัยของมันก็ทำให้ความระแวงของหลินซีคลายลง
“ฉันคือปัญญาประดิษฐ์ 74026
เธอจะเรียกฉันว่าอีวานก็ได้ เธอเป็นคนที่โชคดีมาก
เพราะความดีและความกล้าหาญของเธอเลยทำให้เธอได้รับเลือกโดยปัญญาประดิษฐ์
ตอนนี้ฉันมาช่วยให้เธอกลับไปแข็งแรงอีกครั้ง”
ประโยคสุดท้ายของอีวานทำให้หลินซีรู้สึกสนใจขึ้นมา แต่หลินซีไม่ได้โง่
ในโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ ดังนั้นหลินซีจึงเอ่ยปากถามออกไปอย่างระแวดระวัง
“นายมีเงื่อนไขอะไร?”
น้ำเสียงเอไอที่สุดแสนจะเย็นชาตอบกลับมา
“ตอนนี้เธอเข้ามาอยู่ในระบบคัดเลือกภารกิจแล้ว ถ้าเธอปฏิเสธภารกิจ เธอจะตกอยู่ในอาการโคม่าต่อไป
แต่ถ้าเธอเลือกที่จะยอมรับภารกิจ ขอแค่ทำภารกิจที่กำหนดให้สำเร็จ เธอก็จะสามารถกลับมาแข็งแรงได้อีกครั้ง
ตอนนี้เธอสามารถเลือกที่จะยอมรับหรือปฏิเสธก็ได้”
หลินซีไม่ใช่เด็กสาวผู้ฉลาดเฉลียว แต่ความระแวดระวังก็ทำให้เธอเข้าใจดี
นี่เป็นการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ที่ไม่สามารถหุนหันพลันแล่นได้ หญิงสาวครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ก่อนที่เธอจะถามออกมาอีก
1 ประโยค “ตกลงว่ามันเป็นภารกิจอะไรกันแน่?”
“ก่อนเธอจะยอมรับภารกิจ อีวานจะไม่สามารถพูดอะไรได้”
“...” หลินซีครุ่นคิดอยู่เงียบๆแล้วถามออกไปอีกครั้ง “ถ้าภารกิจล้มเหลวจะเป็นยังไง?”
เสียงเอไอดังขึ้นมาอีกครั้ง “เชิญดู!” ดูอะไรกันล่ะ หลินซีไม่เข้าใจ
แต่แล้วไม่นานเธอก็ได้เข้าใจ เครื่องวัดสัญญาณชีพของเธอมีเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นมา
จากนั้นหน้าจอก็ปรากฏเส้นสีแดงที่กระตุกไปมาอย่างผิดจังหวะขึ้นมาเส้นหนึ่ง
หมอและพยาบาลทั้งหลายต่างก็รีบพุ่งเข้ามาหาเธอ หลังจากยุ่งวุ่นวายอยู่สักพักสัญญาณชีพของหลินซีที่นอนอยู่บนเตียงคนป่วยก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
หลินซีได้แต่เบิกตาโตอ้าปากค้าง ความหวาดกลัวและความโกรธเกรี้ยวพลุ่งพล่านขึ้นมาในหัวใจของเธอ
หลินซีถลึงตามองหน้าจออันนั้นพร้อมจ้องไปยังเจ้าลูกบอลทรงกลมอันน้อยด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว
อีวานไม่ได้หวาดกลัวหลินซีแม้แต่น้อย มันยังคงส่งเสียงเย็นชาออกมาเหมือนเดิม
“ตอนนี้เธอสามารถเลือกที่จะยอมรับหรือปฏิเสธก็ได้ เชิญเลือก”
บนหน้าจอปรากฏปุ่มขึ้นมา 2 ปุ่ม หลินซีหมดหนทาง
ถ้าเธอเลือกที่จะปฏิเสธก็หมายความว่าเธอจะต้องอยู่ในสภาพโคม่าตลอดไป
และบางทีท้ายที่สุดเธอก็คงไม่อาจฟื้นขึ้นมาได้ แต่ถ้าเธอเลือกที่จะรับภารกิจ
หากทำมันไม่สำเร็จเธอก็ต้องถูกฆ่าอยู่ดี หลังจากครุ่นคิดด้วยความสับสนอยู่หลายตลบเธอก็เลือกที่จะกดปุ่มรับภารกิจ
หลังจากหน้าจอเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นมาก็มีตัวอักษรจำนวนหนึ่งเด้งออกมา แต่ยังไม่ทันที่หลินซีจะได้อ่านให้รู้เรื่องว่าพวกมันคืออะไรเธอก็มาปรากฏตัวขึ้นในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งเสียก่อน
โรงพยาบาลแห่งนี้ไม่ใช่โรงพยาบาลแห่งเดิม แต่โรงพยาบาลแห่งนี้ดูอัตคัดกว่ามากอย่างเห็นได้ชัด
ผนังสีขาวเรียบง่าย เหนือศีรษะเองก็มีหลอดไฟนีออนอยู่ไม่กี่หลอด
เตียงผู้ป่วยที่หลินซีกำลังนอนอยู่ก็เป็นเตียงไม้ที่ดูเรียบง่ายสุดๆ
สภาพแวดล้อมแบบนี้เหมือนโรงพยาบาลในชนบทไม่มีผิด
แต่จากนั้นไม่นานเสียงเอไอที่ดังขึ้นมาก็ทำให้หลินซีเข้าใจได้ในทันที
“ยินดีด้วย เธอสุ่มได้ภารกิจช่วยเหลือ ตอนนี้สถานะของเธอก็คือยุวปัญญาชนคนหนึ่ง ยุวปัญญาชนคนนี้ก็มีชื่อว่าหลินซีเหมือนกัน
เธอเพิ่งย้ายจากเมือง S มาที่หมู่บ้านชิงซาน แต่เพราะประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ระหว่างเดินทางมา
ตอนนี้เธอก็เลยต้องมารักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล
ช่วงนี้เธอก็พักรักษาตัวให้ดีๆไปก่อนแล้วกัน
พอถึงเวลาที่เหมาะสมฉันจะแจ้งภารกิจให้เธอทราบ
แค่เธอทำภารกิจทั้งหมดให้สำเร็จเธอก็จะได้กลับไปที่โลกของตัวเอง” เมื่อพูดจบมันก็หายไปทันที
หลินซีต้องมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยจึงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
เธอรู้สึกว่าตัวเองยังมีคำถามที่อยากจะถามออกไป แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามร้องตะโกนออกมาเท่าไรอีวานก็ไม่ปรากฏตัวออกมาอีก
ความรู้สึกของหลินซีในตอนนี้เฮงซวยสุดๆ เธอเหมือนหุ่นเชิดตัวหนึ่งที่ถูกใครสักคนควบคุมเอาไว้
ไม่สิ ถูกระบบควบคุมเอาไว้ต่างหาก เธอมองไปที่ตัวเองในตอนนี้
มือซ้ายของเธอมีผ้าพันแผลพันเอาไว้ บนขาทั้งสองข้างก็ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าพันแผล
แถมความรู้สึกเจ็บปวดยังพลุ่งพล่านขึ้นมาอีก
ดูเหมือนว่าอาการบาดเจ็บของเธอจะไม่เบาเลยทีเดียว ตอนนี้เธอทำได้แค่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยอย่างเงียบๆ
สภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยทำให้เธอไม่กล้าเปิดปากพูดออกไป เพราะถ้าความลับหลุดรอดออกไปคงก่อให้เกิดเรื่องวุ่นวายตามมาแน่นอน
หลินซีที่แม้แต่จะพลิกตัวก็ยังลำบากได้แต่สบถด่าระบบไปต่างๆนานานับไม่ถ้วน
บัดซบจริงๆเลย ให้เธอทะลุมิติมาอยู่ในร่างปกติไม่ได้หรือไง? ดีที่เธอยังสามารถขยับได้อยู่นิดหน่อย
เธอในตอนนี้เหมือนเป็นอัมพาตไปครึ่งตัวแล้ว
จากนั้นพยาบาลที่มีใบหน้ากลมคนหนึ่งก็เดินเข้ามา
เมื่อเธอเห็นหลินซีเธอก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเตียงผู้ป่วยของหลินซีพร้อมรอยยิ้มจนตาหยี
“ยุวฯหลิน พรุ่งนี้เธอก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วนะ พอถึงตอนนั้นจะมีคนมารับเธอเอง”
หลินซีตรวจสอบความทรงจำของร่างเดิมอยู่สักพักแต่เธอก็จำชื่อของพยาบาลคนนี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
เธอจึงทำได้เพียงยกยิ้มแล้วตอบกลับไป “ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”
พยาบาลหน้ากลมคนนั้นพยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเดินไปดูแลคนไข้คนอื่นต่อ
หลินซีนอนต่อไปอย่างเงียบๆแล้วเริ่มตรวจสอบความทรงจำของร่างเดิม
เธอไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาการบาดเจ็บของเธอหรือไม่
ความทรงจำที่หลินซีพอจะนึกออกจึงมีอยู่ไม่มาก หลินซีคนนี้เป็นคนเมือง S เธอมาที่หมู่บ้านชิงซานแห่งนี้เพื่อเป็นยุวปัญญาชน
แต่รถที่พาพวกเธอมากลับประสบอุบัติเหตุชนเข้ากับภูเขาทำให้หลินซีที่นั่งอยู่ด้านนอกสุดกระเด็นออกมาจากตัวรถจนทำให้กระดูกแขนซ้ายของเธอหักและต้องส่งตัวเธอไปยังโรงพยาบาล
ตอนนี้เธอนอนอยู่ในโรงพยาบาลได้ 5 วันแล้ว และดูเหมือนว่าพวกเขาจะต้องส่งเธอกลับไปยังหมู่บ้านชิงซานเสียที
เดี๋ยวนะ ยุวปัญญาชน นี่เป็นคำเฉพาะที่ใช้กันในช่วงยุค 60-70 นี่นา
หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือช่วงเวลาที่หลินซีเดินทางมาก็คือยุคที่ยุวปัญญาชนกระจายตัวกันไปเผยแพร่ความรู้ตามชนบทนั่นเอง
หลินซีไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับยุคนี้มากนัก
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ต้องสงสัยก็คือนี่เป็นยุคแห่งความขาดแคลนทรัพยากรและจำเป็นต้องใช้ตั๋วในการจัดหาอุปทาน
หลินซีหยัดตัวลุกขึ้น ความเจ็บปวดที่ขาทำให้เธอเดินได้ไม่คล่องแคล่วนัก
ตามทางเดินของโรงพยาบาลมีม้านั่งไม้ตั้งอยู่หลายจุดและยังมีญาติผู้ป่วยหลายคนกำลังนั่งคุยเรื่องสัพเพเหระกันอยู่บนม้านั่ง
เมื่อเธอเดินผ่านสำนักงานแพทย์ไปหลินซีก็กวาดตามองปฏิทินที่ถูกแขวนอยู่บนผนัง
วันที่ 15 กันยายน 1973.
ไม่มีคอมเม้น