Aa
Aa
Aa

ตอนที่ 1

พบเห็ดเยื่อไผ่

 

“น้องรอง น้องรอง...”

 

“น้องรอง น้องรอง...”

 

เสียงตะโกนที่ดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่านั้นดังกังวานเป็นพิเศษในฤดูหนาว เฉียวซงร้องตะโกนพลางมุ่งเข้าสู่ป่าเขา ฟ้ามืดลงแล้ว เขากลับมาจากเมืองและพบว่าน้องสาวยังไม่กลับมา เมื่อถามน้องชายจึงรู้ว่า หลังจากที่เขาก้าวเท้าออกจากบ้านไปไม่นาน น้องสาวก็ไปยังป่าไผ่ในภูเขาเสียแล้ว

 

เจ้าเด็กโง่ ที่นั่นจะยังมีหน่อไม้ได้อย่างไร เมื่อฤดูหนาวมาถึง คนทั้งหมู่บ้านต่างก็แห่กันออกไปขุด แม้แต่หน่อใหม่ที่เพิ่งโผล่ออกมาก็ถูกขุดไปจนเกลี้ยงแล้ว

 

สำหรับเฉียวซี มีเพียงช่วงเวลาที่พี่ชายของนางไม่อยู่บ้านเท่านั้นจึงจะสามารถขึ้นเขาไปหาของได้ หากพี่ชายของนางอยู่ที่บ้าน เรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่นางไม่อาจแม้แต่จะคิด แค่คิดเพียงเล็กน้อยก็สามารถถูกบ่นเอาได้

 

วันนี้หลังจากที่พี่ชายใหญ่ออกจากบ้าน นางก็บอกกล่าวกับน้องชายเล็กน้อย แล้วหยิบตะกร้าใบเล็กขึ้นเขาไป นางเป็นผู้มีวิทยายุทธอยู่กับตัว ของที่หาได้เมื่อขึ้นเขาจึงไม่น้อยเลยทีเดียว นางเก็บสมุนไพรได้มากมาย ทั้งยังล่าไก่ป่าและกระต่ายป่าได้อีกอย่างละตัว เมื่อเห็นว่าท้องฟ้าได้มืดลงมากพอสมควรแล้ว นางจึงเร่งฝีเท้าลงจากเขา เมื่อมาถึงป่าไผ่ นางได้ยินเสียงพี่ชายใหญ่ดังมาแต่ไกล จึงถือโอกาสพุ่งพรวดเข้าไปในป่าไผ่ รอให้พี่ชายใหญ่เข้ามาใกล้เสียก่อน แล้วจึงจะแสร้งทำเป็นเดินออกมาจากป่าไผ่

 

เฉียวซียังเดินเข้าไปได้ไม่ไกลเท่าไรนัก ด้วยสายตาอันเฉียบคมของนางทำให้นางได้พบกับจุดที่เคยถูกขุดเอาไว้เข้า มีกองลูกกลมๆ ขนาดเล็กสีน้ำตาลอ่อนอยู่ใต้ผืนใบไม้ที่ร่วงลงมาทับถมกัน นางก้าวไปข้างหน้าอย่างรีบร้อน ก่อนจะย่อตัวลงในทันใด แล้วยื่นมือเข้าไปหยิบลูกกลมๆ นั้นขึ้นมามองอยู่นาน และลูบคลำด้วยความถูกใจจนไม่อาจวางมันลงได้ พร้อมรอยยิ้มกว้างที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้า

 

นี่คือของล้ำค่านี่นา มันคือเห็ดที่ถูกสรรเสริญว่าเป็นดั่งผกาหายากจากขุนเขา เห็ดที่เป็นดั่งราชินีแห่งบรรดาเห็ดทั้งปวง เห็ดเยื่อไผ่

 

โดยปกติแล้วเห็ดเยื่อไผ่จะเจริญงอกงามอยู่ตามส่วนรากของต้นไผ่ ถือเป็นเห็ดชนิดหนึ่งที่แพร่พันธุ์ด้วยสปอร์ หลังจากที่เติบโตขึ้นรูปร่างจะเป็นรูปตาข่ายคล้ายกับคราบงู มันมีหมวกเห็ดสีเหลืองไข่ห่าน ก้านเห็ดเป็นทรงกระบอกสีขาวหิมะ มีเปลือกหุ้มโคนเห็ดรูปไข่สีชมพู ส่วนยอดของก้านเห็ดมีระบายรูปตาข่ายสีขาวสะอาดดูประณีตปูคลุมลงมาจากร่มเห็ด ดูงดงามเป็นอย่างยิ่ง

 

เฉียวซีกำลังกลุ้มใจว่าจะทำให้ครอบครัวดีขึ้นได้อย่างไร นี่ไม่ใช่สิ่งที่สวรรค์ส่งมาให้นางหรอกหรือ หากนำไปขายให้ร้านอาหารใหญ่ๆ ในเมืองน่าจะได้ราคาดีไม่น้อย

 

เฉียวซีหอบทุกสิ่งเข้าตะกร้าแบกหลัง แม้กระทั่งเศษใบไผ่ ก็ถูกเก็บเข้าไปด้วย

 

ในเมื่อสามารถพบได้หนึ่งที่ ก็น่าจะยังมีอยู่อีก เฉียวซีถือโอกาสนี้รอเฉียวซงอยู่ที่เดิม ไว้เมื่อเขามาถึงแล้วจะไปหาด้วยกัน ยิ่งคนเยอะยิ่งมีกำลังมากไม่ใช่หรือ

 

“น้องรอง...”

 

“พี่ใหญ่ ข้าอยู่นี่” เสียงของเฉียวซงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ  และเฉียวซีก็ขานตอบ

 

เฉียวซงยืนอยู่นอกป่าไผ่ เมื่อเขาได้ยินเสียงน้องสาวดังออกมาจากป่าไผ่ จึงรีบก้าวเท้าเข้าไป หลังจากนั้นไม่นานก็เห็นร่างเล็กๆ ยืนรอเขาอยู่

 

“พี่ใหญ่ ข้าพบของดีเข้าแล้ว เรามาลองหาดูว่าจะยังมีอีกไหม” เมื่อเฉียวซงเดินเข้าไปใกล้ เฉียวซีก็เอ่ยขึ้นพร้อมมอบของล้ำค่าให้เขา บนใบหน้าของนางยังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

 

เมื่อได้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของน้องสาว คำพูดจากอารมณ์โกรธก็ไม่อาจเอ่ยออกมาได้เลย เขามีหรือจะไม่เข้าใจความคิดของน้องสาว แต่นางกับน้องชายยังอายุน้อยมาก ในฐานะพี่ชายคนโตเขามีภาระหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบดูแลครอบครัว

 

“งั้นหรือ นี่ของดีอะไรหรือ” เฉียงซงถามด้วยรอยยิ้ม

 

“เจ้านี่ไง” เฉียวซีเอ่ยพร้อมชี้ไปที่ลูกกลมๆ ในตะกร้าไผ่

 

เฉียวซงมองเข้าไปในตะกร้าไม้ไผ่ แต่เมื่อเห็นกองก้อนกลมสีน้ำตาลที่ดูเหมือนถุงน้ำดีงูอยู่ในกองเศษใบไม้เน่าๆ เขาก็ตกใจกลัวมากเสียจนต้องถอยหลังกลับไปหลายก้าว “น้องรอง นั่นคือไข่งู รีบทิ้งมันไปเสีย” ป่าไผ่มีเจ้าสิ่งนี้อยู่มาก ทุกครั้งที่คนในหมู่บ้านพบเข้า จะรีบย่ำมันทิ้งเสีย แต่น้องสาวตัวดีกลับบอกว่ามันเป็นสิ่งล้ำค่าเสียอย่างนั้น

 

เฉียวซีอดกรอกตาไม่ไหว ทำเพียงวิจารณ์ว่าเป็นสิ่งไร้ค่าหรือ แต่นี่ก็ไม่อาจโทษพี่ชายของนางที่เห็นเป็นเรื่องแปลกได้ หากไม่ใช่เพราะชาติปางก่อนนางชอบอ่านหนังสือ ขอเพียงว่าเป็นหนังสือนางล้วนชอบเสียทั้งสิ้น หากนางไม่ชอบอ่านหนังสือเช่นนั้นนางคงจะไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร

 

ทว่าเวลานี้รีบอธิบายเสียจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นมีความเป็นไปได้ที่พี่ชายของนางจะทิ้งมันลงพื้นแล้วย่ำมันจนแตก หากเป็นเช่นนั้น นางจะไปร้องไห้กับใครได้เล่า

 

“พี่ใหญ่ นี่คือเห็ดเยื่อไผ่ รออีกไม่กี่วันก็จะแตกออกมาจากเปลือก เอาไปต้มน้ำซุบกินอร่อยมากเลยนะ” เพียงนึกถึงรสชาตินั้น นางก็น้ำลายสอแล้ว รสชาตินั้นอร่อยมากจริงๆ

 

“เห็ดเยื่อไผ่หรือ เจ้ารู้จักเห็ดเยื่อไผ่ได้อย่างไร”

 

“ท่านลืมไปแล้วหรือ ข้าชอบอ่านหนังสือนะ หนังสือเหล่านั้นของท่านพ่อข้าก็อ่านมาหมดแล้ว” เฉียวซีรู้แต่แรกแล้วว่าพี่ชายของตนจะถามเช่นนี้ และนางก็หาข้อแก้ต่างไว้ตั้งนานแล้ว แถมพี่ชายของนางก็เคยอ่านเช่นกัน ทว่าไม่ได้อ่านจนครบถ้วนเช่นนาง ดังนั้นนี่จึงไม่ถือเป็นการพูดโกหก

 

ดีที่พ่อของนางเป็นคนที่ค่อนข้างเยี่ยมยอดทีเดียว มีหนังสือตั้งมากมาย พ่อยังสอนหนังสือนางตั้งแต่เล็ก และนางก็ชอบที่จะอ่านหนังสือหลายๆ ประเภทในห้องหนังสือของพ่อ

 

“ดูสิ ข้าลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไรกัน” เฉียวซงตบท้ายทอยของตนเบาๆ พลางมองน้องสาวของตนพร้อมยิ้มระรื่น พ่อของเขาเป็นซิ่วไฉ[1]เพียงคนเดียวในหมู่บ้านเฉียว แม้จะเป็นผู้ที่มาจากต่างแดน แต่กลับเป็นหน้าเป็นตาให้หมู่บ้านเฉียวไปแล้ว แต่เมื่อไปสอบจวี่เหริน[2]สองครั้งไม่ผ่านจึงไม่ไปสอบอีก ต่อมาจึงทำงานสอนหนังสือในสำนักศึกษาส่วนตัว ชีวิตในครอบครัวของพวกเขาครบถ้วนสมบูรณ์ไม่น้อย แต่เรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อครึ่งปีก่อนตอนที่พ่อของเขาเข้าไปในภูเขา ก็พบกับพายุฝนและดินถ่ม ทำให้เสียชีวิตไปทั้งอย่างนั้น ซึ่งแม่ก็จากไปด้วยเช่นกัน ในบ้านจึงเหลือเพียงพวกเขาสามพี่น้อง งานศพของพ่อและแม่ทำเอาทรัพย์สินในบ้านถูกควักออกมาใช้จนหมดสิ้น ดีที่ไม่มีหนี้สินข้างนอก ไม่เช่นนั้นชีวิตของพวกเขาทั้งสามคนคงจะยากลำบากยิ่งขึ้นไปอีก เขาจึงทำได้เพียงต้องเลิกเรียนหนังสือเพื่อรับภาระเลี้ยงดูครอบครัว

 

“ท่านพี่ ข้าแปดขวบแล้วนะ ข้าสามารถรับภาระเลี้ยงดูครอบครัวนี้ด้วยกันกับท่านได้” เฉียวซีเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยวและจริงใจ

 

“ได้สิ  เช่นนั้นเราหากันต่ออีกสักหน่อยเถอะ” ยามที่ท่านพ่อและท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ น้องสาวไม่เคยต้องลำบากเลยแม้แต่น้อย นางเป็นดังสมบัติบนฝ่ามือของพวกเขา ไม่คิดเลยว่า... เฉียวซงเก็บความเศร้าโศกเอาไว้ จะทำให้น้องสาวเป็นห่วงไม่ได้

 

สองพี่น้องหาเห็ดเยื่อไผ่กันนับชั่วโมง ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาหาได้อีกไม่น้อย เมื่อเห็นว่าท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว แม้จะยังอยากหาต่อก็จำต้องยอมละทิ้งความคิด เพราะยังมีน้องคนเล็กอีกคนที่บ้าน

 

“พี่ใหญ่ พวกเรากลับกันก่อนเถอะ ไม่อย่างนั้นน้องสามคงต้องกังวลใจเป็นแน่”

 

“ได้สิ ไว้พรุ่งนี้พวกเราค่อยมาใหม่” ป่าไผ่กว้างใหญ่เช่นนี้ น่าจะยังหาได้อีกไม่น้อย

 

“พรุ่งนี้ไว้พวกเรามาด้วยกันทุกคนนะ”

 

“มา ข้าแบกตะกร้าเอง” เฉียวซงชิงหยิบตะกร้าไม้ไผ่ตรงหน้าน้องสาวขึ้นแบก ก่อนจะมุ่งหน้าลงเขาไป

 

ครอบครัวของพวกเขาไม่มีเงินซื้อตะเกียงน้ำมัน เฉียวไป่จึงใช้ฟืนก่อไฟแทนตะเกียงน้ำมัน เขาเดินไปเดินมาอยู่ที่หน้าประตูอย่างกระสับกระส่าย พี่ใหญ่ไปตามหาพี่รองนานมากแล้ว เหตุใดจึงยังไม่กลับมาเล่า

 

โชคดีที่บ้านของพวกเขาอยู่ห่างจากตีนเขาไม่ไกลเท่าไรนัก เมื่อเขาได้เห็นเงารางๆ สองร่างมุ่งตรงมาทางบ้านของเขา เขาก็วิ่งเข้าไปอย่างรีบร้อน ความหวาดกลัวในหัวใจระเบิดออกมาในทันที น้ำตาหลังไหลลงมาเป็นสาย “ไหนพี่รองบอกว่าไปประเดี๋ยวเดียวก็จะกลับมาแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงไปนานเช่นนี้เล่า ฮือ...”

 

“เด็กดี พี่รองก็กลับมาแล้วไม่ใช่หรือ ไม่ต้องร้องนะ ไม่ต้องร้อง พี่รองหิวแล้ว เราไปทำกับข้าวกันเถอะ” เฉียวไป่ติดพี่สาวเช่นนี้ตั้งแต่เล็ก นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกทิ้งให้อยู่บ้านคนเดียว การที่เขากลั้นน้ำตามาได้จนถึงตอนนี้ถือว่าทำได้ยากมากทีเดียว

 

“ฮือ...ฮือ... ครั้งหน้าท่านพี่อย่าทิ้งข้าอีกนะ”

 

“จ้ะ ครั้งหน้าข้าจะพาเจ้าไปด้วยนะ”

 

“น้องสามอย่าร้องไห้ไปเลย กลับบ้านกันเถอะ”

 

เมื่อกลับถึงบ้าน เฉียวซีตรงเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมทำอาหาร นางเปิดฝาหม้อออกและพบว่ามีมันเทศที่ต้มสุกแล้วอยู่ในหม้อ “น้องสาม นี่เจ้าทำหรือ”

 

“อืม หลังจากที่พี่ใหญ่ไปตามหาท่าน ข้าก็ต้มมันเทศเอาไว้ ข้ากลัวพวกท่านจะหิว” เฉียวไป่เกาหัวอย่างเขินอาย เขาพอจะต้มมันเทศเป็นอยู่บ้าง ตอนที่พี่สาวทำเขาก็อยู่ด้วยตลอด ดังนั้นเขาจึงทำเป็น ส่วนอย่างอื่นดูซับซ้อนเกินไป เขาจึงทำไม่เป็น

 

“เก่งจริงๆ เลย เจ้าโตขึ้นแล้วนะ” นางเอ่ยชมน้องชาย พลางนำมันเทศวางลงในกะละมัง แล้วยกไปวางไว้บนโต๊ะตัวเตี้ยตัวหนึ่งในครัว แล้วบรรดาพี่น้องก็ลงมือกินมันเทศ โดยอาศัยแสงสลัวจากเตาไฟส่องสว่าง

 



[1]  ซิ่วไฉ (秀才) คือระดับคุณวุฒิในสมัยโบราณ ผู้ที่ได้รับคุณวุฒินี้จะต้องสอบผ่านระดับต้นหรือระดับท้องถิ่น เป็นระดับคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องกับการสอบรับราชการในสมัยโบราณ

[2] จวี่เหริน (举人) คือระดับคุณวุฒิในสมัยโบราณ เป็นระดับขั้นที่อยู่ถัดจากซิ่วไฉ ถือเป็นการสอบในระดับภูมิภาคหรือระดับมณฑล ผู้ที่จะเข้าสอบในระดับนี้ได้จะต้องได้รับคุณวุฒิซิ่วไฉเสียก่อน

Comment

  • ไม่มีคอมเม้น