Aa
Aa
Aa

ตอนที่ 5

 

วันเวลาที่ไป๋ซิงอาศัยอยู่ที่นี่ได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ไป๋ซิงอายุสี่ขวบแล้วเขาใช้เวลาที่ผ่านมาสี่ปีไปไม่น้อยกับการเรียนรู้ การอ่านหนังสือและการทำความเข้าใจเรื่องต่างในโลกนี้และศึกษาระบบอัพเกรดเรื่อยมา

และเรื่องของชนเผ่าต่างๆนั้นเขายังมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้น้อยเกินไป

**********

แต่ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาไม่ได้แค่ทำความเข้าใจกับการเรียนรู้การอ่านหนังสือเท่านั้นเขายังทำตามคำบอกของเจ้าตำหนักหลินจื่อผิงให้ฝึกเคล็ดวิชาเพ่งจิตว่างเปล่าไปยังภาพของเทพธิดาหนี่วาเป็นประจำ เคล็ดวิชานี้เป็นยอดวิชาที่จะช่วยให้เขาประสบความสำเร็จเหนือกว่าผู้อื่นแม้ว่าเขาจะอยู่ในเทวโลกก็ตาม เคล็ดวิชานี้ที่ถูกจดจำในวิญญาณของเขาต้องเป็นสุดยอดวิชาในโลกมนุษย์โดยมิต้องสงสัย

ในชาติภพก่อนเขาไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ ไม่สามารถกำหนดชะตาชีวิตของตัวเองได้ เขาเบื่อหน่ายกับการใช้ชีวิตภายใต้ความตายตลอดเวลาแต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขา แต่ชีวิตนี้เขาจะเขียนชะตาชีวิตของตนเองและเดินไปตามเส้นทางที่เขาต้องเดินเส้นทางของผู้เป็นอมตะ

ไป๋ซิงหลับตาและทำสมาธิเพื่อเริ่มการฝึกฝนเขารับรู้ได้ถึงพลังบางอย่างรอบๆตัวเป็นพลังงานธรรมชาติที่ไหลเข้าสู่ร่างกายเขาอย่างช้าๆมันทำการชำระล้างร่างกายและหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของเขาที่แท้ยอดวิชาเพ่งจิตว่างเปล่าคือการดูดซับพลังงานแห่งธรรมชาตินั่นเอง

ติ้ง

วิชาเพ่งจิตว่างเปล่า ได้EXP 1EXP

วิชาเพ่งจิตว่างเปล่า ได้EXP 1EXP

เสียงแจ้งเตือนระบบดังเข้ามาในหัวของเขา เขาใช้ความคิดเพื่อปิดเสียงการแจ้งเตือนให้มันแจ้งเตือนตอน100EXPและข้ามไประดับต่อไปเท่านั้น 

ถึงเขาจะเพิ่งเกิดได้ไม่กี่ปีแต่ร่างกายของเด็กทารกสะอาดบริสุทธิ์ตั้งแต่แรกเกิดอยู่แล้ว แต่หลังจากที่ใช้ชีวิตและเติบโตขึ้นจะค่อยๆถูกมลทินของทางโลกเข้ามาทำให้แปดเปื้อน แต่ด้วยการฝึกวิชาเพ่งจิตว่างเปล่าทำให้ร่างกายของเขาถูกชำระล้างเหมือนกับทารกแรกเกิดและร่างกายของเขาพัฒนาทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นมาเรื่อยๆ อาการบาดเจ็บตั้งแต่เกิดของเขาก็หายไปแล้ว อีกวิธีหนึ่งคือการฝึกฝนพลังปราณหรือพลังกายาเทพอสูรนี่ก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้ร่างกายสะอาดบริสุทธิ์และเพิ่มความแข็งแรงของร่างกายได้

**********

แสงแดดยามเช้าค่อยๆปรากฏขึ้นมาทำให้ผู้คนรู้สึกร่างกายอบอุ่นขึ้นมาทำให้ผู้คนค่อยๆลุกจากเตียง

ในห้องนอนมีเด็กชายใบหน้าขาวหล่อเหลาริมฝีปากแดงเหยียดแขนออกไปให้สาวรับใช้สวมใส่เสื้อผ้าที่ตัดเย็บจากขนสัตว์ให้กับตนเอง โดยมีสาวใช้อีกคนถืมชามน้ำและเกลือยืนรออยู่ด้านข้าง

ไป๋ซิงยืนให้บรรดาสาวรับใช้คอยปรนนิบัติรับใช้เขามาตั้งแต่เกิด บางครั้งเขาก็ทำสิ่งต่างๆด้วยตัวเอง สาวรับใช้ทั้ง2มีนามว่า เสวี่ยฉุน แปลว่า บริสุทธิ์ราวหิมะและเสวี่ยฮวา แปลว่าเกล็ดหิมะ เมื่อพวกนางเห็นไป๋ซิงทำเช่นนั้นกลับทำให้พวกนางแตกตื่นตกใจร่างกายสั่นระริก

ไป๋ซิงเห็นอาการพวกนางจึงสอบถามถึงได้รู้ว่าพวกนางมีหน้าที่คอยปรนนิบัติรับใช้ห้ามขาดตกบกพร่อง ถ้าทำหน้าที่บกพร่องก็จะถูกลงโทษ ดีไม่ดีอาจมีโทษถึงตายได้มันจึงทำให้พวกนางกล้วเป็นอย่างมาก แต่เขาก็บอกถึงเขาจะทำสิ่งต่างๆเองบ้างก็ไม้ต้องกลัวเพราะมันคือความต้องการของเขาและเขาจะไม่โทษพวกนาง แต่หลังจากนั้นมาแม่ของเขาก็ให้พวกนางปรนนิบัติเรื่องต่างๆให้กับเขาอยู่ดี

ไป๋ซิงอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ ก็แต่งกายอย่่างรวดเร็จ

ตั้งแต่เกิดมาร่างกายเขาก็สะอาดหมดจดมาตั้งแต่เกิดและการฝึกวิชาเพ่งจิตว่างเปล่าก็ทำให้ร่างกายแข็งแรงมากขึ้นและสะอาดผิวขาว ต่อให้ไม่แปรงฟันเลยเขาก็ไม่มีกลิ่นปาก ที่เขาต้องแปรงฟันทุกวันนั้นเป็นเพราะถูกแม่ของเขาบังคับต่างหากละ

 “เสวี่ยฮวา ชนเผ่าของเจ้าก็ใช้เกลือแปรงฟันเช่นกันหรือไม่”

ขณะนี้ไป๋ซิงอายุสี่ขวบแล้ว เขาใช้เวลาไม่น้อยไปกับการเรียนรู้และการอ่านหนังสือ แต่เขาก็ยังมีความเข้าใจในเรื่องของชนเผ่าต่างๆน้อยเหลือเกิน

“นายน้อย นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร กระทั่งเกลือที่พวกเราหามาอย่างยากเย็น เกลือที่ได้มาใช้สำหรับปรุงอาหารยังไม่ขาวสะอาดเท่าเกลือที่นายน้อยใช้เลย ชาวเผ่าเช่นพวกข้าเพียงใช้น้ำเปล่าบ้วนปากเท่านั้น บางคนตั้งแต่เกิดจนตายยังไม่เคยได้แปรงฟันเลย”

ไป๋ซิงทั้งงุนงงทั้งขบขัน เขาหมุนตัวเดินออกไปโดยมีหญิงสาวทั้งสองติดตามอยู่ด้านหลัง

ระหว่างเดินไปรับประทานอาหารไป๋ซิงครุ่นคิดเรื่องการทำยาสีฟัน สบู่และอื่นๆอีกในอนาคต

ถ้าเขาสามารถทำยาสีฟันได้ในตอนนี้ละก็เขาจะสามารถใช้เงินทำได้หลายอย่าง ระหว่างที่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเขาก็มาถึงห้องอาหาร 

“ท่านพ่อ ท่านแม่” ไป๋ซิงคารวะบิดามารดาก่อนเดินเข้าสู่ห้องโถง

บนโต๊ะที่สร้างจากหินอ่อนสีดำวางเต็มไปด้วยอาหารมากมายซึ่งประกอบไปด้วยแผ่นแป้งนุ่มหนา เนื้อตุ๋นอันหอมกรุ่นและน้ำแกงชามใหญ่

ในโลกใบนี้มนุษย์ทุกคนล้วนกินจุเป็นอย่างมาก ปริมาณอาหารของเด็กสี่ขวบตรงหน้านี้สามารถเลี้ยงดูผู้ใหญ่สี่คนในโลกที่ไป๋ซิงจากมาได้อย่างเหลือเฟือ ยังดีที่อาหารเหล่านี้ล้วนมีรสชาดอร่อย แม้ไป๋ซิงจะใช้รสชาดอาหารจากโลกเดิมเป็นเกณฑ์ในการเปรียบเทียบก็ตาม แต่อาหารของผู้คนบนโลกนี้ก็อร่อยเป็นอย่างมาก

ไป๋ซิงยังรู้อีกว่าเนื้อสัตว์ที่นำมาทำอาหารให้กับเขานั้นมิใช่เนื้อสัตว์ทั่วไป แต่เป็นเนื้อสัตว์ของสัตว์อสูรที่ให้พลังงานและคุณค่าทางอาหารเป็นอย่างมาก เนื้อเหล่านี้ทำให้เขาแข็งแกร่งมากขึ้น แต่เนื้อสัตว์อสูรหาได้ยากและมีราคาที่สูง ถ้าเป็นครอบครัวธรรมดาทั่วไปไม่สามารถที่จะหาได้ตลอดทั้งชีวิตก็มี แต่ครอบครัวของเขากลับสามารถกินได้ทุกวัน 

หลังรับประทานอาหารเสร็จเขาก็ขอพ่อแม่ของเขาออกไปข้างนอกไป๋ซิงวิ่งไปนอกบ้านทันที สาวรับใช้ทั้งสองรีบวิ่งติดตามออกไป

เหม่ยเฟิ่งมองตามเงาหลังของบุตรชายพลางหัวเราะด้วยความรักความเอ็นดู “แม้ว่าลูกเราจะอ่อนแอไปบ้างเมื่อแรกเกิด แต่เขาก็เริ่มมีร่างกายที่แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆท่านพี่ดูเขาสิเขากินอาหารเยอะมาก”

ไป๋ฉีผงกศีรษะรับ สัตว์อสูรสามารถดูดซึมพลังงานแห่งธรรมชาติ เนื้อของพวกมันจึงอุดมไปด้วยพลังงานเช่นกัน เนื้อเหล่านี้สามารถทำให้เด็กทั่วไปอิ่มท้องไปได้ถึงสองวัน แต่ไป๋ซิงสามารถกินได้ทั้งสามมื้อความสามารถในการรองรับพลังงานแห่งธรรมชาติของร่างกายไป๋ซิงนับว่าอยู่ในระดับสูงมาก

**********

หญิงสาวทั้งสองหอบหิ้วหนังสือกองโตติดตามนายน้อยของพวกนางมุ่งหน้าสู่สนามฝึกซ้อมฝีมือ

เมืองเขตปกครองตะวันตกมีขนาดใหญ่โตมาก มีประชากรอยู่อาศัยนับแสนคน มีสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่สามหลัง ภายในเมืองประกอบไปด้วยตัวเมืองชั้นในและชั้นนอกเมืองชั้นในซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของคนในตระกูลไป๋ ค่ายทหาร และสนามฝึกซ้อมฝีมือ

ระหว่างไป๋ซิงไปสนามฝึกซ้อมฝีมือมีขบวนองครักษ์อีกสิบแปดนายทำหน้าที่อารักขาเขาอยู่ ชุดเกราะสีดำทั้งสิบแปดชุดที่สลักเต็มไปด้วยอักษรประหลาดเปล่งรัศมีอันทรงพลังออกมา บ่งบอกให้รู้ว่าพวกมันล้วนสังกัดหน่วยองครักษ์เกราะดำซึ่งเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลไป๋ ทั่วทั้งเขตปกครองตะวันตกมีอยู่เพียงหนึ่งร้อยนายเท่านั้น เป็นองครักษ์ที่ไป๋ฉีฝึกมาเองกับมือทุกนายล้วนขึ้นตรงต่อไป๋ฉี

มีผู้คนนับพันในสนามฝึกซ้อมจ้องมองไป๋ซิงที่มีองครักษ์คอยปกป้องรอบกายด้วยความอิจฉาและเลื่อมใส

“นั้นไป๋ซิงทายาทอันดับ1ของกระบี่หยาดน้ำแข็งโปรยผู้นั้นรึ”

“ที่ทาสสตรีทั้งสองถือนั่นใช่หนังสือหรือไม่ คราวก่อนที่ขบวนพ่อค้าเร่ร่อนเดินทางมา ข้าได้ยินว่าแต่ละเล่มราคาเทียบได้กับเนื้อสัตว์อสูรหนึ่งมื้อเลยทีเดียว”

“นั้นเท่ากับ1000เหรียญทองเลยนะ”

เด็กหนุ่มที่กำลังฝึกฝีมือหลายคนรู้จักคุ้นเคยกับไป๋ซิงเป็นอย่างดี ไป๋ซิงเป็นนายน้อยของทายาทตระกูลใหญ่ที่ไม่อวดอำนาจรังแกเด็กชาวบ้านทั่วไปทั้งยังชอบช่วยเหลือผู้อื่น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาสนทนากับเขา

ไป๋ซิงหาที่นั่งดีๆได้ก็นั่งลงใต้ต้นไม้

“ส่งหนังสือมา”สาวรับใช้ส่งหนังสือให้ไป๋ซิงเขาอ่านหนังสือทามกลางผู้คนมากมายเพราะเนื่องจากชีวิตก่อนเขาไม่ค่อยได้มีโอกาสนั่งสงบสงบอ่านหนังสือท่ามกลางต้นไม้อย่างนี้ เขาในตอนนี้จึงชื่นชอบการใช้ชีวิตอย่างนี้ นับตั้งแต่วันที่เขาเกิดมามีเรื่องราวสามประการที่เขากระทำเป็นกิจวัตรประการแรกคือการฝึกฝนเคล็ดวิชาเพ่งจิตว่างเปล่าผ่านภาพของเทพธิดาหนี่วา นั่นทำให้จิตวิญญาณของเขาหนักแน่นเข้มแข็งขึ้น ไป๋ซิงในปัจจุบันมีความสามารถในการจดจำสิ่งต่างๆเป็นรูปภาพ และสามารถทำหลายสิ่งได้พร้อมกัน เขาสามารถใช้มือข้างหนึ่งเขียนหนังสือในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งกำลังวาดรูปได้โดยไม่สับสน เขาสามารถทำสองสิ่งพร้อมกันได้ยิ่งเขาฝึกวิชาเพ่งจิตว่างเปล่ามากเท่าไรเขาจะสามารถทำอะไรได้มากกว่านี้อีกเยอะ

สำหรับผู้ฝึกตนมันมิใช่เรื่องที่แปลกพิสดารแต่อย่างใดตามที่ระบุไว้ในหนังสือ ผู้ฝึกตนในวิถีแห่งความเป็นอมตะก็สามารถแบ่งจิตใจเป็นหลายทาง ควบคุมของวิเศษนานาชนิดเข้าจู่โจมศัตรูอย่างอิสระ มันเหมือนผู้ใช้พลังจิตในการ์ตูนหรือหนังสือนิยายต่างๆถ้าเขาสามารถประยุกต์ใช้ได้เหมือนกันแล้วล่ะก็เขาจะสามารถใช้พลังจิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพียงแต่ภาพของเทพธิดาหนี่วาช่วยให้ไป๋ซิงสามารถบรรลุถึงความสามารถนี้ได้ในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น

ประการที่สองคือการอ่านหนังสือ เพียงเกิดมาได้สามเดือนเขาเริ่มออกเสียงได้ดีขึ้นและชี้มือไปยังภาพและหนังสือต่างๆ แม่ของเขาจึงให้บรรดาสาวใช้อ่านหนังสือให้ฟังและสอนการอ่านการเขียน ดังนั้นเพียงชั่วเวลาไม่นานเขาก็เริ่มอ่านหนังสือได้เอง

ดังคำโบราณกล่าวไว้ ‘น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน ใช้เวลานานแค่ไหน มันก็สึกกร่อนได้ เขาฝึกอ่านหนังสือทุกวันจนเขาสามารถอ่านได้จนคล่องแคล่ว’ ไป๋ซิงเข้าใจดีว่าต่อให้เขาจดจ่อกับวิถีแห่งความเป็นอมตะถึงเพียงไหน ตอนนี้ก็ยังไม่ใช่เวลาที่เขาจะสามารถลงมือฝึกฝนได้ การศึกษาหาข้อมูลย่อมเปรียบได้กับการ‘ลับมีด’รอไว้ จนกว่าจะถึงเวลาที่เขาสามารถ ‘ลงมือตัด’ อย่าว่าแต่เขาเองก็มีความต้องการอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆของโลกใบนี้ให้มากขึ้นเช่นกัน

เรื่องราวที่เขาได้เรียนรู้จากการอ่านอีกประการหนึ่งก็คือ ตระกูลไป๋เป็นเพียงผู้ดูแลเขตปกครองเล็กๆภายในอาณาเขตอันกว้างใหญ่ไพศาลของจักรวรรดิ์ดาราสวรรค์ 

พื้นที่ปกครองของตระกูลไป๋แบ่งออกเป็นเขตปกครองกลาง เหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตก ทั้งหมดห้าเขตปกครอง ในขณะที่ราชวงศ์ดาราสวรรค์ เป็นราชวงศ์เดียวที่ปกครองแผ่นดินทั้งหมดในโลกแห่งนี้มานับหลายล้านล้านปีตั้งแต่ ‘ยุคแห่งเทพอสูร’

“ช่างสมกับที่เป็นโลกแห่งผู้อมตะและเหล่าอสูร” ไป๋ซิงลอบทอดถอนใจด้วยความเลื่อมใส 

“อาณาจักรมนุษย์ทั่วไปจะหาราชวงศ์ที่สามารถปกครองต่อเนื่องได้ถึงพันปียังยากลำบาก โลกโบราณแห่งนี้ช่างเป็นสถานที่ที่คาดฝันไม่ถึงจริงๆ”

“ที่จริง ตอนนี้เราก็น่าจะพร้อมที่จะเริ่มการฝึกฝนวิถีแห่งความเป็นอมตะได้แล้ว”

พออ่านไปชักพักเวลาก็ใกล้ค่ำแล้ว ไป๋ซิงลุกขึ้นกลับห้องเหล่าสาวใช้และองครักษ์ก็ติดตามกลับไป

*********************************************************************

ฝากกดไลค์ กดแชร์ กดติดตามช่องทางyoutube ด้วยนะครับ

ช่อง เล่าไปเรื่อย Channel

https://www.youtube.com/channel/UCq0jhJfgu3BFHkCtMgcTBcQ

 

Comment

  • ไม่มีคอมเม้น