พอเดินมาถึงด้านหน้าประตูที่พักยุวปัญญาชนเงาของคนผู้หนึ่งก็กระโจนออกมา
ฉู่เฉิงยืนอยู่ด้านหน้าหลินซี มือทั้งสองข้างวางไว้ด้านหลัง
ดวงตาอันเปล่งประกายจ้องมองมาที่หลินซี เธอมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าหนึ่งรอบ ครั้งนี้ใบหน้าน้อยๆ
ถูกล้างจนสะอาดแล้ว เสื้อผ้าที่สวมอยู่บนร่างกายก็ถูกเปลี่ยนแล้วเช่นกันแต่ก็ยังค่อนข้างเล็กไปจนทำให้ข้อเท้าน้อยๆ
โผล่ลอดออกมา อาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าบวมน้อยลง ดูท่าทางหลายวันมานี้เจ้าเด็กน้อยคงมีความสุขดี
หลินซีถามเขา “เป็นยังไงบ้าง?
มาหาฉันมีเรื่องอะไรเหรอ?”
ฉู่เฉิงเผยมือข้างหนึ่งที่อยู่ด้านหลังออกมา มันคือกระติกน้ำของหลินซีนั่นเอง
หลินซีทำท่าทางบอกให้เขาวางกระติกน้ำไว้ในถังน้ำ
แล้วเจ้าเด็กน้อยก็เผยมืออีกข้างหนึ่งออกมา ในมือของเขาถือข้าวโพด 2 ฝักไว้
หลินซีตกใจเอ่ยถามออกไป “เอามาจากไหน?” ใบหน้าน้อยๆ ของฉู่เฉิงที่ตอนแรกดูมีความสุขนิดๆ
พลันเจื่อนลงไป
หลินซีเอ่ยถามออกไปอย่างตกใจ “เอานี่มาจากไหน?” ฉู่เฉิงเอ่ย “เธอไม่ต้องสนใจหรอกน่า ฉันให้เธอ เธอก็เอาไปเถอะ”
พอพูดจบเขาก็เอากาต้มน้ำและข้าวโพดวางลงไปในถังน้ำแล้วหมุนตัววิ่งไปเลย
หลินซีเรียกเขาอยู่หลายครั้งแต่เขาวิ่งไปไกลแล้วโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา
หลินซีส่ายหน้าแล้วกลับห้องไป กระติกต้มน้ำถูกล้างจนสะอาดแล้ว
หลินซีนำแป้งที่เอามาจากบ้านออกมา เธอตัดใจเอาแป้งมาทำเป็นขนมแป้งทอดทั้งหมดเลย
ขนมแป้งทอดอันกรุบกรอบผสมกับกลิ่นหอมสดใหม่ของต้นหอมซอยทำให้คนที่ได้กลิ่นต้องน้ำลายไหลแน่
หลินซีกินไปชิ้นหนึ่งแล้วเอาใส่ลงไปในกล่องข้าว 3 ชิ้น
ส่วนที่เหลือเธอเอาเก็บเข้าไปในช่องเก็บของ ฝักข้าวโพดอีก 2
ฝักก็ย่างจนสุกแล้วเก็บเข้าไปในช่องเก็บของเช่นกัน
หลินซีถือตะกร้าเดินไปยังเขาซวงผิง
เธอต้องการตามหาฉู่เฉิง โชคไม่เลวนักที่ฉู่เฉิงกำลังนั่งอยู่ในกระท่อมที่ทำจากหญ้าผุๆ
พังๆ ตามที่คาด พอเห็นหลินซีเดินมาเขาก็ตกใจแล้วลุกขึ้นยืนทันที
หลินซียิ้มพลางเดินไปหาจากนั้นก็ถามเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ตอนกลางวันกินอะไรไป?”
ฉู่เฉิงเม้มปาก สายตามองไปที่ฝักข้าวโพดที่ตัวเองกินเหลือไว้
เขาใช้เท้าเตะฝักข้าวโพดพยายามจะปิดบัง ‘ร่องรอยความผิด’
หลินซีไม่พูดอะไรเพียงแค่เปิดผ้าที่ปิดอยู่ด้านบนตะกร้าและเผยให้เห็นกล่องข้าวกล่องหนึ่ง
ในกล่องข้าวนั้นคือขนมแป้งทอดที่เพิ่งจะทำเสร็จ หลินซีเอากล่องข้าวยัดใส่เข้าไปในมือฉู่เฉิง
ฉู่เฉิงรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านมาจากกล่องข้าว ทันใดนั้นก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมาเช่นกัน
ฉู่เฉิงไม่สามารถต้านทานความหอมของอาหารได้ถึงกับกินขนมแป้งทอดเข้าไป 3
อันรวดจนท้องป่อง เขาเช็ดปากที่มันแผลบแล้วในที่สุดก็อ้าปากพูดขึ้น “ข้าวโพดนั่นฉันแอบเด็ดมา ไม่มีใครรู้”
หลินซียังคงยิ้มอยู่ “ในบ้านไม่มีของกินแล้วเหรอ?
ทำตัวแบบนี้มันไม่ดีนะ ถูกไหม?”
ฉู่เฉิงเงยหน้าขึ้นมามองตาหลินซีตรงๆ แล้วถามขึ้น “ถ้าเธอแทบจะหิวตายอยู่แล้วเธอจะไปขโมยของมากินไหมล่ะ?” หลินซีอึกอัก โบราณกล่าวไว้ว่าอดตายเรื่องเล็ก
ละทิ้งความซื่อสัตย์เรื่องใหญ่ แต่ในยามต้องเลือกจะอยู่หรือตาย
การได้ประทังชีวิตต่อไปจึงเป็นเรื่องสำคัญ
หลินซีหยุดไปพักหนึ่งแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอีกครั้ง
“ก่วนจ้ง (นักปรัชญาจีน) กล่าวไว้ว่า ยามยุ้งฉางมีพืชผลจึงรู้สัตย์
เสบียง ผ้าพร้อมสรรพจึงรู้เกียรติ
ฉันไม่คิดว่าการกระทำของเธอมันผิดแต่คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีก ถ้าโดนจับได้ขึ้นมาเธอก็จะมีมลทินติดตัวไปตลอดชีวิต
เพื่อข้าวโพดไม่กี่ฝักมันไม่คุ้มหรอก”
เธอไม่ได้บอกว่าเขาผิดแต่มันไม่คุ้มค่า ไม่ได้ตำหนิหรือเยาะเย้ยแต่วิเคราะห์พิจารณาสถานการณ์โดยเอาตัวเองไปยืนในมุมของเขา
คำพูดของหลินซีเหมือนก้อนหินก้อนหนึ่งที่กะเทาะหัวใจแช่แข็งของฉู่เฉิง
ของเหลวในตาของเด็กน้อยกำลังจะไหลลงมา เขาหันหัวไปด้านข้างอย่างหัวแข็งพร้อมขยิบตาปริบๆ
พยายามเก็บน้ำตากลับเข้าไป
หลินซีเก็บฝักข้าวโพดที่เปื้อนเศษดินขึ้นมาจากพื้นแล้วใส่เข้าไปในตะกร้า
ฉู่เฉิงไม่เข้าใจการกระทำของหลินซี หลินซีจึงขยิบตาให้เขาแล้วพูดด้วยความซุกซนเล็กน้อย
“ฉันจะเอาไปเผาทำลายหลักฐาน”
เสียงจากระบบดังขึ้นข้างหูหลินซีอีกครั้ง
“ยินดีด้วย เธอทำภารกิจต่อเนื่องสำเร็จแล้ว ตอนนี้เธอได้รับความประทับใจจากฉู่เฉิง
ความคืบหน้า 15% และได้รับรางวัลจากระบบ 15 เหรียญทองรวมถึงปลดล็อคร้านค้าระบบด้วย
ระบบต้องการการอัพเดท กรุณารอสักครู่”
หลินซีถอนหายใจออกมายาวๆ เวลารออัพเดทนี่มันยาวนานจริงๆ
เลย พอมาถึงที่พักยุวปัญญาชนและปิดประตูห้องเสร็จระบบก็แจ้งเตือนขึ้นมา : การอัพเดทสำเร็จแล้ว หลินซียื่นมือขวาออกไป
หน้าจอปรากฏขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้สิ่งที่ปรากฏบนหน้าจอคือชั้นวางสินค้า บนชั้นวางสินค้าทุกชั้นมีกล่องอยู่เต็มไปหมด
พวกมันเรียงรายกันอยู่อย่างหนาแน่น บนกล่องระบุชื่อสินค้าและจำนวนเหรียญทองที่ต้องการเอาไว้
เมื่อดูสินค้าเสร็จแล้วหลินซีก็รู้สึกว่าตัวเองโดนน้ำเย็นๆ
อ่างหนึ่งราดจนท่วมตัว รูปส่วนมากเป็นสีเทา นั่นก็หมายความว่าเธอไม่สามารถซื้อได้ หลินซีมองดูสินค้าที่ตัวเองสามารถซื้อได้เช่น
ซาลาเปา ซาลาเปาเกลียว ผ้าขนหนู แปรงสีฟัน โดยส่วนใหญ่แล้วก็คือสิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน
มีสินค้าประมาณ 12 ชิ้นที่สามารถซื้อได้ แล้วเธอก็ดูจำนวนเหรียญทองที่ต้องใช้
ซาลาเปา 2 ลูกต้องใช้ 1 เหรียญทอง ซาลาเปาเกลียว 1 ลูกต้องใช้ 1 เหรียญทอง
ผ้าขนหนู 1 ผืนต้องใช้ 2 เหรียญทอง ยาสีฟัน 1 หลอดต้องใช้ 3 เหรียญทอง...
หลินซีกัดฟันพูดกับระบบ “ทำไมนายไม่ไปตายซะล่ะ?”
เหรียญทองที่ตัวเองเก็บสะสมมาไม่สามารถซื้อของได้มากมาย
มันช่างน่าอนาถจริงๆ ส่วนเจ้าระบบก็ยังคงสงบนิ่งอยู่ “เธอเลือกที่จะไม่ซื้อก็ได้”
หลินซี “…”
หลินซีโกรธจนไม่อยากคุยกับระบบอีกแล้ว
ดังนั้นระบบจึงปิดไปอย่างเงียบๆ
เธออุตส่าห์ยอมใช้แป้งสาลีและน้ำมันเพื่อที่จะปลดล็อคร้านค้าระบบได้เร็วๆ
อุตส่าห์ลงทุนแต่ผลปรากฏว่าคว้าน้ำเหลว หลินซีแอบโมโหเงียบๆ อยู่นาน ตั้งแต่เลือกเข้าระบบก็เหมือนกับเธอได้ตกลงไปในหลุม
ตอนนี้หลินซียังไม่รู้ว่านี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น เหตุการณ์ต่อๆ
ไปภายหลังจะทำให้เธอเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าระบบนี้มีหลุมพรางมากมายขนาดไหน
พืชที่เก็บกลับมาต้องนำมาตากแห้ง มีของตากตรงลานตากแห้งในหมู่บ้านอยู่เต็มไปหมด
หลินซีถูกจัดให้ออกไปทำงานดูแลลานตากแห้ง นี่คือการทำงานครั้งแรกของหลินซี
งานนั้นไม่ยากขอแค่ดูแลพืชผลดีๆ ไม่ให้โดนนกจิก ไม่ให้โดนคนขโมยไป
ถึงแม้จะได้ส่วนแบ่งน้อยแต่อย่างไรเสียก็ยังเป็นรายได้ หลินซีจึงออกไปทำอย่างยินดี
แสงแดดระเหยความชื้นในพืชผลจนแห้งหมดแล้ว
มันส่องจ้าเสียจนแม้แต่คนเองก็ได้รับไออุ่นไปเช่นกัน
หลินซีหรี่ตามองท้องฟ้าสีน้ำเงิน ก้อนเมฆสีขาวบริสุทธิ์หลายก้อนกำลังเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ
ทำให้จิตใจผ่อนคลายไร้กังวล มีความสุขจริงๆ เลย!
ในลานตากแห้งยังมีคนแก่อีก 2-3 คน
พวกเขาส่วนมากไม่ค่อยแข็งแรง ไม่สามารถทำงานหนักได้จึงถูกจัดมาทำงานที่ค่อนข้างเบา
หลินซีและพวกเขาไม่สนิทกันเธอจึงนั่งอยู่อีกด้านหนึ่งคอยฟังพวกเขาคุยกัน
หลินซีกำลังฟังเพลินๆ แต่ทันใดนั้นก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาจากไกลๆ เธอก้าวเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ในมือก็จูงเด็กคนหนึ่งมาด้วย เด็กน้อยรูปร่างหน้าตาสง่างามและแข็งแรง แต่ตอนนี้เขากำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นเบาๆ
และบางครั้งก็เดินเซไปมา เขาพยายามเดินตามฝีเท้าของผู้หญิงคนนั้นเข้ามาใกล้ตรงนี้เรื่อยๆ
ผู้หญิงคนนั้นเดินมาหยุดตรงหน้าคนแก่คนหนึ่งแล้วผลักเด็กน้อยไปด้านหน้า
จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยความไม่พอใจและใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธ “พ่อ ดูสิ มือหลานพ่อลอกหมดแล้ว หลายวันมานี้งานยุ่งมาก
งานในทุ่งพวกเราก็เป็นคนทำ เด็กก็ไม่มีคนดูแล เดี๋ยวหกล้มเดี๋ยวกระแทกก็ไม่มีใครสนใจ
พ่อบอกมาซิว่าให้ทำยังไง! บ้านพี่ใหญ่ไม่สนใจอะไรเลย
งานทุกอย่างก็ให้พวกเรารับผิดชอบ เรื่องนี้พูดยังไงก็ไม่มีเหตุผลตรงไหนเลยใช่ไหมล่ะ?”
สายตาของทุกคนจ้องมองไปที่ร่างของผู้หญิงคนนั้น
คนแก่คนหนึ่งจับมือเด็กน้อยแล้วพูดกับเขาเสียงเบา “เป็นอะไรล่ะ? เจ้าเปี๊ยกมาให้ปู่ดูซิ เจ็บตรงไหนฮึ?”
ผู้หญิงคนนั้นทำหน้านิ่งแล้วพูดต่อ “นอกจากตรงมือแล้วยังมีตรงขาอีกนะ ดูสิ ให้ปู่ดูด้วย พ่อว่ามาซิเรื่องนี้ตกลงจะเอายังไง? วันนี้ถ้าไม่พูดกันฉันก็ไม่ทำแล้วงาน พรุ่งนี้ฉันจะกลับบ้านไปดูลูกแล้ว”
เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวในบ้านคนอื่น
คนข้างๆ จึงทำได้แค่ให้คำแนะนำ “เมียเอ้อร์เกิน
เธออย่าโกรธไปเลย รีบไปศูนย์อนามัยใส่ยาให้เจ้าหนูเถอะ”
“จินชุ่ย! หนังมันถลอกนิดหน่อยเอง
ทายาไม่กี่วันก็หาย ให้เด็กมันนั่งพักอยู่นี่สักหน่อย
รอให้กินข้าวเสร็จแล้วให้พ่อเธอพาไปส่งก็ได้” ภรรยาของเอ้อร์เกินที่ชื่อจินชุ่ยได้ยินดังนั้นกลับไม่ตอบรับเลยสักแอะ
เธอถลึงตาเอ่ยขึ้นเสียงดัง “พ่อ
ตอนนี้ที่พ่อกินใช้อยู่เนี่ยก็พวกเราดูแลทั้งหมดเลยนะ
ถ้าพ่อยังลำเอียงอีกก็ไม่สมเหตุสมผลแล้ว” คำพูดของจินชุ่ยแสดงให้เห็นถึงการกดดันอย่างชัดเจนแต่ฉู่ซานซูทำเป็นไม่ได้ยิน
สายตาของทุกคนพุ่งไปที่พ่อเฒ่าผู้นั้นอีกครั้ง
ส่วนพ่อเฒ่าก็ทำเพียงแค่ลูบมือของหลานชายอย่างทะนุถนอมโดยไม่พูดอะไร “ซานซู ถ้าอย่างนั้นพาหลานกลับไปก่อนไหม
ตรงนี้เดี๋ยวพวกเราดูเอง ยังไงก็ใกล้จะถึงเวลาเลิกงานแล้ว”
มีคนออกมาพูดให้จนสถานการณ์ดีขึ้น แต่จินชุ่ยกลับไม่พอใจ
นี่ไม่ใช่จุดประสงค์ที่เธอมา เธอจึงพูดต่อไป “พ่อ งานตรงที่นานี่ยังต้องทำอีกตั้งหลายวัน
เด็กคนนี้ไม่มีคนดูแลไม่ได้นะ ลุงก็ต้องไปทำงาน ฉันก็ไม่ว่าอะไร
แต่ฉู่เฉิงก็ว่างอยู่ไม่ใช่เหรอ? มันก็โตแล้วนะ
ให้มันดูแลเด็ก ทำกับข้าวก็คงไม่มีปัญหา พ่อลองดูสิ
เด็กในหมู่บ้านเราที่โตขนาดนี้เขาก็ช่วยคนในบ้านทำงานกันหมดแล้ว มีแต่มันนั่นแหละ
วิ่งเล่นอยู่ทุกวันแม้แต่เงาหัวยังไม่เห็นเลย มัวแต่เล่นทั้งวี่ทั้งวัน
อะไรก็ไม่ทำ นี่บ้านเราเลี้ยงคุณชายหรือไง! พ่อก็น่าจะดูแลมันบ้างนะ”
พอได้ยินชื่อฉู่เฉิงหลินซีที่ง่วงๆ อยู่ก็ตื่นขึ้นมาทันที ฉู่ซานซูไม่ตอบ
เขาจูงมือเด็กน้อย ใบหน้าที่เหี่ยวย่นเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
จากนั้นเขาก็พูดกับเด็กน้อย “กลับบ้านกับปู่กันก่อนเถอะ!”
ถึงแม้จินชุ่ยจะโกรธแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
เธอเดินตามหลังซานซูแล้วบ่นพึมพำไม่จบไม่สิ้น
รอจนคนพวกนั้นไปแล้วตรงลานตากแห้งจึงคึกคักขึ้นมา
ทุกคนพากันพูดคุยถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ “ยัยจินชุ่ยนี่ก็ช่างพูดมาได้เนอะ
ตอนที่เมียแกยังมีชีวิตอยู่ คนแก่สองคนก็อยู่กันเอง
ตอนที่เมียแกตายแล้วนี่เองซานซูแกถึงได้ไปอยู่กับบ้านเอ้อร์เกิน เพิ่งจะกี่ปีเอง แม่นั่นพูดเหมือนดูแลปู่แกมานานแล้วอย่างนั้นแหละ” อีกคนหนึ่งพูดขึ้นมา “ยัยจินชุ่ยนี่ไม่เหมือนบ้านต้าเกินเลย
แต่ก่อนที่สองตายายอยู่กับต้าเกินก็ใช้ชีวิตสบายกว่าตอนนี้
ถ้าไม่ใช่เพราะเมียต้าเกินหนีไปคนในบ้านก็ไม่ต้องทะเลาะกันจนบ้านไม่เหมือนบ้านหรอก
น่าสงสารนะ”
ยังมีอีกคนกระซิบกระซาบขึ้นมาอีก “จินชุ่ยนี่ก็ไปเบียดเบียนบ้านต้าเกินอีกนะ
แยกบ้านกันอยู่แล้วยังจะไปเรียกให้หลานทำงานอีก มันไม่ไว้หน้ากันเลย
เด็กมันเจ็บแค่นั้นเอง ผิวถลอกนิดหน่อยมีอะไรต้องรีบร้อน”
“เรื่องแยกบ้านอยู่ก็แยกกันมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้ไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว ถ้าฉู่ต้าเกินยังทำตัวไม่เอาไหนอยู่อีกแค่เลี้ยงตัวเองก็ยังแทบจะถูไถ
ฉู่เฉิงไม่มีคนดูแลแล้วยังจะหวังให้หลานทำงานอีก คิดทุกเม็ดจริงๆ ลูกก็ 7
ขวบแล้วยังต้องมีคนมาดูแลอีก สมัยนี้เด็กที่โตขนาดนี้เขาช่วยทำงานในนากันหมดแล้ว
บ้านพวกนั้นต่างหากที่เลี้ยงลูกเทวดา”
“คงเพราะว่าบ้านซานซูน่ะมีหลานคนเดียวยังไงล่ะ ไม่อย่างนั้นจินชุ่ยจะผยองขนาดนี้ได้ยังไง”
“อย่าพูดมั่วๆ สิ ยังมีฉู่เฉิงอีกไม่ใช่เหรอ?
นั่นหลานชายคนโตของตระกูลฉู่เลยนะ” มีคนแย้งขึ้นมา
“หึ เธอจะไปรู้อะไร ฉันได้ยินมาว่าฉู่เฉิงไม่ใช่ลูกหลานของตระกูลฉู่
ก็ดูเด็กคนนั้นสิ มันหน้าตาเหมือนคนตระกูลฉู่เหรอ?
แถมยังไม่เหมือนเมียต้าเกินด้วย ไม่อย่างนั้นทำไมต้าเกินถึงชอบตีเมียตลอดล่ะ
แล้วเมียแกก็ยังแอบหนีไปกับคนอื่นอีก”
ไม่มีคอมเม้น