Aa
Aa
Aa

ตอนที่ 2

เพาะเห็ดเยื่อไผ่

 

หลังจากกินอาหารค่ำเสร็จแล้ว เฉียวซีก็นำทุกสิ่งที่อยู่ในตะกร้าไม้ไผ่ออกมา

 

เมื่อเฉียวไป่เห็นเห็ดเยื่อไผ่ก็คิดว่ามันคือไข่งูเช่นเดียวกันกับเฉียวซง เขาหวาดผวาและถอยหลังกลับไปอย่างต่อเนื่อง ถอยจนกระทั่งไม่มีหนทางให้ถอยหนีได้อีก เขานั่งลงบนพื้น มองไปทางเฉียวซีพร้อมตะโกนลั่น “พี่รอง รีบทิ้งมันไปเสีย นั่นคือไข่งู ไข่งูกินไม่ได้ กินแล้วต้องตายแน่”

 

“ฮ่าๆ  น้องสาม นี่ไม่ใช่ไข่งู นี่คือเห็ดเยื่อไผ่ มันกินได้” ท่าทางของน้องชายคนเล็กช่างน่าขันสิ้นดี และเฉียวซีก็หัวเราะออกมาแล้วจริงๆ

 

“พี่ใหญ่ พี่รองเพี้ยนไปแล้ว ท่านรีบทิ้งมันไปเร็ว” เมื่อเฉียวไป่เห็นเฉียวซีหัวเราะเยาะเขา จึงต้องร้องขอความช่วยเหลือจากพี่ชาย

 

“น้องสาม นี่ไม่ใช่ไข่งูหรอก รีบลุกขึ้นมาเร็วเข้า บนพื้นมันเย็นนะ” หันไปมองน้องสาวที่ยังหัวเราะจนตัวสั่น “น้องรอง อย่าหัวเราะเลย น้องเขาไม่รู้”

 

“เจ้าค่ะๆ ไม่หัวเราะแล้วๆ”

 

“พี่... พี่ใหญ่... นี่ไม่ใช่ไข่งูจริงๆ หรือ” เฉียวไป่ค่อยๆ ลุกขึ้นมาจากพื้นแล้วขยับเข้าใกล้เฉียวซงอย่างระมัดระวัง พร้อมทั้งยื่นศีรษะมองกองเห็ดเยื่อไผ่บนพื้น

 

“ไม่ใช่ไข่งูจริงๆ ไม่ต้องกลัว” ฝ่ามือของเฉียวซงตบลงบนหลังของเฉียวไป่เบาๆ สองสามหน แสดงถึงการปลอบขวัญ

 

“เอาล่ะ ยังมีของดีอย่างอื่นอยู่อีกนะ”

 

“พี่รองยังมีของดีอะไรอีกหรือ” หลังจากที่แน่ใจว่าไม่ใช่ไข่งู ความรู้สึกของเฉียวไป่ก็กลับมาสู่สภาวะปกติ เขาเปิดตากว้างพร้อมเอ่ยถามด้วยความสงสัย

 

“ไก่ป่ากับกระต่ายป่า” ขณะที่พูดก็หยิบไก่ป่าและกระต่ายป่าออกมาจากตะกร้าไม้ไผ่แล้ววางไว้บนพื้น

 

“ว้าว... พี่รองยอดไปเลย ท่านจับมันมาได้อย่างไร” เมื่อได้เห็นไก่ป่าและกระต่ายป่า เฉียวไป่ก็น้ำลายแทบหก พวกเขาไม่ได้กินเนื้อมากว่าครึ่งปีแล้ว ทำเอาเขาใกล้จะลืมแล้วว่าเนื้อมีรสชาติอย่างไร

 

คิดไม่ถึงเลยว่าพี่สาวจะจับไก่ป่าและกระต่ายป่าได้ในการขึ้นเขาครั้งแรก แววตาที่เฉียวไป่มองเฉียวซีเต็มไปด้วยความชื่นชม

 

“เป็นเพราะข้าโชคดีด้วย ตอนที่พวกมันกำลังวิ่งหนี พวกมันวิ่งชนต้นไม้แล้วสลบไป ข้าจึงจับมาได้สบายๆ” ไม่อาจเอ่ยความจริงออกมาได้ อย่างไรเสียบนร่างกายของพวกมันก็ไม่มีรอยแผลอยู่เลย การบอกว่าพวกมันวิ่งชนต้นไม้แล้วสลบไปจึงพอฟังขึ้น

 

“เจ้าพูดจริงหรือ” เฉียวซงมองน้องสาวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย เขาเพียงต้องการรู้ว่าเป็นมาอย่างไร

 

“จริงแท้แน่นอน อย่างไรเสียข้าก็ไม่มีความสามารถจะจับมันได้อยู่แล้ว” เฉียวซีพูดพร้อมใบหน้าที่ดูซื่อสัตย์

 

เฉียวซงมองร่องรอยของการโกหกบนใบหน้าของเฉียวซีไม่ออก จึงได้เชื่อคำที่น้องสาวเอ่ย น้องสาวช่างโชคดีเหลือเกิน เขาไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย แต่อย่างไรก็เคยได้ฟังจากพ่ออยู่บ้าง

 

“น้องรอง เจ้าตั้งใจจะเอาไปทำอะไรหรือ” นี่เป็นสิ่งที่น้องรองหามา จึงควรให้นางตัดสินใจว่าจะจัดการอย่างไรดี

 

“พวกเราเก็บไว้กินเองเถอะ ยามนี้อากาศหนาวแล้ว ปล่อยเนื้อทิ้งเอาไว้นานๆ ก็คงไม่เสีย พวกเราไม่ได้กินเนื้อมานานมากแล้ว ไม่ต้องเอาไปขายหรอก” แม้จะนำไปขายในเมืองก็แลกเงินมาได้ไม่เท่าไร สู้เอามาบำรุงพี่ชายน้องชายไม่ได้เลย

 

“พี่รอง จะมีเนื้อกินจริงๆ เหรอ” เฉียวไป่คิดว่าตนหูฝาดไป จึงถามขึ้นด้วยความไม่แน่ใจ

 

“แน่นอนจ้ะ ต่อให้เอาไปขายก็ขายได้ไม่กี่ตัง สู้เราเก็บไว้กินเองไม่ได้หรอก”

 

“ว้าว... เยี่ยมไปเลย มีเนื้อกินแล้ว” เมื่อเฉียวไป่ได้ยินว่าจะมีเนื้อกินแล้ว เขาก็ดีใจจนกระโดดโลดเต้นไปทั่วครัว

 

“น้องสาม เบาเสียงลงหน่อย” เมื่อเฉียวซงได้เห็นน้องชายดีใจ เขาก็ดีใจเช่นกัน แต่สิ่งที่ควรเตือนก็ยังจำเป็นต้องเตือนอยู่ดี ใช่ว่าทุกคนในหมู่บ้านจะเป็นคนดีเสียทั้งหมด ยังมีพวกอันธพาลอยู่อีก หากถูกพวกเขาได้ยินเข้า ไม่แน่ว่าเนื้อเหล่านี้อาจไม่เหลือเลยก็ได้ ใครใช้ให้ครอบครัวพวกเขาไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วยเลยเล่า

 

“ใช่แล้ว ข้าจะไปจุดไฟ” อย่าดูถูกเฉียวไป่เชียว เขาเป็นคนเฉลียวฉลาดมาก สมองของเขาไวมากทีเดียว

 

“น้องรอง ให้ข้าจัดการไก่ป่ากับกระต่ายป่าเถอะ ส่วนเห็ดเยื่อไผ่เหล่านั้นเจ้าคิดจะทำยังไงกับพวกมันหรือ”

 

“ข้าอยากจะลองเพาะมันดู หากสำเร็จเราเอาไปขายให้กับร้านอาหารใหญ่ๆ ในเมืองน่าจะขายได้ราคาดี” นางไม่รู้จักโลกนี้สักเท่าไร ไม่รู้ว่าพวกเขามีอาหารเช่นนี้หรือไม่ หากมีจะพูดง่ายหน่อย หากไม่มี ถ้าต้องการให้เขาซื้อจำต้องทำอาหารออกมาเสียก่อน การจะทำอาหารนั้นไม่ใช่ปัญหา ทว่าปัญหาคืออายุของนาง ไม่อาจรู้ได้ว่าพวกเขาจะเชื่อนางหรือไม่ อย่างไรเสีย ยามนี้จะคิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ทุกปัญหาล้วนมีทางออกเสมอ

 

“เห็ดนี่เพาะได้หรือ”  เฉียวซงมองไปที่กองลูกกลมๆ สีน้ำตาลนั้นหลายหน เหตุใดจึงรู้สึกว่าจุดนี้ไม่น่าเชื่อถือกันนะ แต่เขาก็ไม่อยากโต้แย้งคำพูดของน้องสาว เพราะไม่ต้องการจะทำนางเสียใจ

 

“อย่างไรก็ต้องลองดูก่อน หากประสบความสำเร็จแล้ว จากนี้ไปชีวิตของพวกเราก็อาจจะเปลี่ยนแปลงได้” เวลานี้เฉียวซีมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีผู้ใดสามารถสกัดฝีเท้าของนางได้ นางไม่ได้ขอให้พวกตนร่ำรวยขึ้นมาในทันที นางหวังเพียงว่าครอบครัวของตนจะมีอยู่มีกิน ให้พี่ชายใหญ่ได้เรียนหนังสือต่อ ให้น้องชายคนเล็กได้มีความรู้ความสามารถมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความปรารถนาของพ่อ แม้พ่อจะไม่อยู่แล้ว นางก็จะทำความปรารถนาของพ่อให้สำเร็จให้ได้

 

“ได้สิ หากเจ้าต้องการอย่างไรก็ทำเช่นนั้นเถิด” ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ขอเพียงน้องสาวไม่ขึ้นเขาเพียงลำพังคนเดียว จะอย่างไรย่อมดีกว่าทั้งนั้น พ่อและแม่ต่างก็ไม่อยู่แล้ว เขาต้องรับภาระหนักในการดูแลน้องๆ แต่ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหนเขาก็ไม่กลัว

 

“ขอบคุณพี่ใหญ่มากนะ” เวลานี้จะเอ่ยอะไรล้วนไม่จำเป็นทั้งสิ้น ขอเพียงมีผลสัมฤทธิ์ออกมาและพูดจายามมีผลสัมฤทธิ์เหล่านั้นจึงจะถูกต้อง

 

ในบ้านมีทั้งหมด 4 ห้อง ห้องโถง 1 ห้อง ห้องเดิมซึ่งเคยเป็นห้องของพ่อกับแม่และกลายเป็นห้องของพี่ชายน้องชายในตอนนี้ 1 ห้อง ห้องของนาง 1 ห้อง และยังมีห้องที่เดิมใช้เก็บสิ่งของต่างๆ อีก 1 ห้อง ตอนนี้โดยพื้นฐานแล้วถือว่ายังว่างอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้ ห้องนี้จะสามารถให้นางใช้เพาะเห็ดได้พอดี

 

“พี่ใหญ่ อย่างไรเสียห้องเก็บของก็ยังว่างอยู่ หากข้าจะนำมาเพาะเห็ด ท่านจะคิดเห็นเช่นไร” เรื่องนี้ยังจำต้องปรึกษาพี่ชายใหญ่เสียก่อน

 

“แล้วแต่เจ้าเถิด” อย่างไรเสียห้องนั้นก็ยังว่างอยู่ น้องรองคิดอยากจะทำสิ่งใดก็ให้นางทำเสียเถิด

 

“ขอบคุณพี่ใหญ่มาก” เมื่อกล่าวว่าจะทำแล้วก็ต้องทำ เฉียวซีพุ่งเข้าไปในห้องเก็บของ ในนั้นมีกองฝุ่นสะสมอยู่ ทั้งยังมีหยากไย่มากมาย ใช้ไม้กวาดในมือทำความสะอาดเล็กน้อยก็พอ โชคดีที่ในห้องนี้ไม่มีสิ่งอื่นใด มีเพียงชั้นวางที่สูงพอๆ กับตัวนางสองชั้น คิดดูแล้วน่าจะเป็นชั้นที่เมื่อก่อนพ่อของนางเคยใช้วางหนังสือ ยามนี้สามารถนำมาเพาะเห็ดเยื่อไผ่ได้พอดี

 

คืนนี้ดูจะไม่สามารถจัดการได้แล้ว แต่นางไม่ได้ร้อนรน อย่างไรพรุ่งนี้ก็ยังต้องไปป่าไผ่อีกครั้ง หากว่าหาได้ก็เพาะพร้อมกันเสียเลย หากหาไม่ได้ก็เพาะเพียงเห็ดที่หาได้คืนนี้เสีย

 

เมื่อจัดการเรียบร้อย เฉียวซีก็กลับไปที่ครัว ไก่ป่าและกระต่ายป่าถูกพี่ชายจัดการเรียบร้อยแล้ว เขาใช้ฟางผูกพวกมัน แล้วแขวนผึ่งลมไว้บนขื่อเป็นที่เรียบร้อย

 

เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว หลังจากที่สามพี่น้องล้างหน้าล้างตา ทั้งสามก็กลับห้องและนอนหลับไป

 

เช้ามืดวันถัดมา สามพี่น้องต่างตื่นแต่เช้า แทะเคี้ยวมันเทศ หยิบตะกร้าไม้ไผ่และมุ่งหน้าไปยังป่าไผ่ ทั้งสามคนต่างพากันคึกคักฮึกเหิม

 

เมื่อหากันสามคนทำให้หาได้ไวขึ้นมาก หลังจากหากันทั้งเช้า ป่าไผ่กว้างใหญ่ก็ถูกพวกเขาสำรวจจนครบ แต่หาเจอเพียง 4 เหง้าเท่านั้น แม้จะไม่มาก แต่ก็เพียงพอแล้ว

 

เมื่อกลับถึงบ้านและกินอาหารกลางวันเสร็จ เฉียวซงก็ไปที่ไร่นา เฉียวซีพาเฉียวไป่เริ่มต้นลงมือเพาะปลูกเห็ดเยื่อไผ่ ขุดดินอุดมสมบูรณ์ที่เชิงเขามาจำนวนหนึ่ง โรยลงบนชั้นไม้ ปูใบไม้และกิ่งไม้ผุที่นำกลับมาจากป่าไผ่ลงไปบนนั้น แล้วนำเชื้อเห็ดเยื่อไผ่ใส่ลงไป สุดท้ายจึงนำดินโรยลงไปบางๆ อีกชั้นหนึ่ง

 

เมื่อไร้เทคโนโลยีของเทียนเฉาจึงทำได้เพียงเพาะเห็ดเยื่อไผ่ด้วยวิธีดั้งเดิมเช่นนี้ คัดเห็ดเสียที่ปนมาออก แล้วเพาะเลี้ยงไว้ในห้อง

 

Comment

  • ไม่มีคอมเม้น