ตอนที่
3
แผนลวง
“ให้ถูกจับ”
โม่หลิงกระซิบเบา ๆ
ว่า ‘นอนก่อนเถิด
ทุกอย่างจะดีเอง’ เด็กสาวหลายคนคิดตามด้วยความฉงน ‘ทุกอย่างจะดีเอง’ และในไม่ช้าก็ผล็อยหลับไป
อู๋ซินเปิดหน้าต่างและปีนเข้าไปอย่างระมัดระวัง
ก่อนจะเดินไปหยุดข้างหน้าเด็กสาวในชุดสีเหลือง
และเขย่าตัวพร้อมทั้งยื่นมือไปลูบหัวศีรษะของนาง
เมื่อพบว่านางไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใด ๆ จึงใช้พลังควบคุมจิตใจนาง
พร้อมกล่าวว่า ‘ข้าไม่กลัว ข้ายังมีเทียนหลิงเพื่อนของข้า เราพบกันที่หลังหุบเขา
เราเล่นและส่งเสียงดังไปด้วยกัน นางยอดเยี่ยมมาก เรานัดหมายจะไปเก็บดอกไม้ด้วยกัน
แต่ข้าไม่ได้ไป นางจะต้องตามหาข้าเป็นแน่ ข้าจะหลับไปเพื่อรอให้นางมาหา’
เด็กสาวทวนคำพูดของอู๋ซินอีกรอบ
อู๋ซินถอนพลังจิตออก เด็กสาวในชุดสีเหลืองหลับตาและผล็อยหลับไป ครั้งนี้ต่างจากเดิมคือ
นางมีความทรงจำใหม่เพิ่มเข้ามา หลังจากอู๋ซินทำทุกอย่างเรียบร้อย
ก็ได้กลับไปโรงเตี๊ยมโดยใช้เส้นทางเดิม ในช่วงเวลานั้น ทุกอย่างล้วนเงียบสงบ
อู๋ซินกลับมาที่โรงเตี๊ยม
ถอดชุดดำออก และหยิบชุดที่ต้องสวมในวันรุ่งขึ้นออกมาวางที่หัวเตียง
ก่อนจะดับไฟและทอดกายลงนอน
ก่อนรุ่งสางของเช้าวันรุ่งขึ้น
อู๋ซินเปลี่ยนชุดเป็นสีเหลืองเรียบง่าย เมื่อมาถึงจวนเจ้าเมือง
เหล่าสตรีงามล้วนสวมเครื่องแต่งกายที่งดงาม ทยอยเดินออกไปจากจวนเจ้าเมือง
“ท่านเจ้าเมือง ข้าขอตัวนำผลไปรายงานก่อน”
ขุนนางในเครื่องแบบนายหนึ่งพูดพร้อมคำนับโจวจงหมิงผู้เป็นเจ้าเมือง
“ท่านหยวน
ข้าไม่ส่ง ขอให้ท่านเดินทางปลอดภัย” โจวจงหมิงประสานมือขึ้นคำนับเช่นเดียวกัน
“เช่นนั้นข้าหวังว่าท่านเจ้าเมืองจะช่วยปลอบประโลมครอบครัวของสตรีงามเหล่านี้สักหน่อย
ข้าขอตัว” โจวจงหมิงพยักหน้ารับ “อืม” เมื่อพูดจบเขาก็สะบัดชายเสื้อเดินลงจากจวนเจ้าเมือง
และขึ้นม้านำทัพจากไป
เมื่อพวกเขาไกลออกไป
นายน้อยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ท่านเจ้าเมืองจึงบ่นขึ้นด้วยความไม่พอใจ
“เหตุใดเราจึงต้องคอยตามเก็บกวาดในเรื่องที่พวกนั้นทำด้วยล่ะ นี่ยังเป็นการทำลายชื่อเสียงของท่านพ่ออีก
เจ้าเมืองหันมอง
“อย่าพูดถึงมันเลย
เวลานี้เราต้องคิดว่าจะอธิบายกับครอบครัวของสตรีงามเหล่านั้นอย่างไรดี
ตอนนี้ภายนอกยังไม่สงบ หากเราส่งข่าวออกไปก็คงไม่เป็นการดี ไร้ทางช่วย
ตอนนี้เราทำได้เพียงขอให้ประชาชนสงบลง” น้ำเสียงของโจวจงหมิงเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มและเศร้าโศก
“คาดไม่ถึงว่าจะมีข้าราชการที่ดีเช่นโจวจงหมิง”
อู๋ซินพึมพำกับตนเอง ก่อนจะใช้วิชาตัวเบาไล่ตามกองทัพออกไป
ขบวนของสตรีงามได้มาถึงหน้าประตูเมืองทางทิศใต้
ก่อนจะหยุดลง “รถม้าและกองกำลังม้าจะตามมาถึงในไม่ช้าขอรับนายท่าน”
ทหารในชุดพลเรือนนายหนึ่งได้คุกเข่าคำนับอยู่หน้าหยวนจ้งเจี๋ย
“เอาล่ะ
พวกเราจะรอกันที่นี่ อีกเดี๋ยวมีรถม้าและกองรถม้ามา คงทำให้การเดินทางรวดเร็วขึ้น
น่าจะถึงเมืองหลวงได้ไว”
“ขอรับ”
ทหารโดยรอบตอบด้วยเสียงดัง “พักได้” แม่ทัพกองกำลังทหารออกคำสั่ง
กลุ่มทหารนั่งลงบริเวณหน้าประตูเมืองเพื่อรอกองรถม้า
อู๋ซินแอบฟังบทสนทนาของพวกเขา
เมื่อมองไกลออกไปก็เห็นว่ามีชายสองนายกำลังลากรถม้ามุ่งหน้ามายังประตูเมือง
นางเอียงตัวออกมาด้านนอกเล็กน้อยราวกับจงใจเปิดเผยตัว เพียงครู่เดียวก็ถูกพบตัว
สายตาจ้องมองไปยังเหล่าสตรีงาม โดยไม่หันมองข้างหลังเลยแม้แต่น้อย
รถม้าค่อย ๆ ใกล้เข้ามา
“ทำอะไรของเจ้า” ข้ารับใช้นายหนึ่งพบตัวนาง
อู๋ซินแสร้งทำเป็นวิ่งหนีด้วยท่าทางตื่นตระหนก
แต่ก็ถูกคนเลี้ยงม้าปรี่เข้ามามาจับแขนไว้ อู๋ซินพยายามใช้แรงที่มีดิ้นรนขัดขืนการจับกุม
แต่ก็ถูกชายคนหนึ่งลากออกไปนอกประตูเมือง
“รถม้าถึงแล้วขอรับนายท่าน
และข้าน้อยจับตัวสาวน้อยที่มาทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ไว้ได้
นางเอาแต่จ้องมองราวกับสะกดรอยตามเรามา” คนเลี้ยงม้าก้มหน้าคำนับลง
หยวนจ้งเจี๋ยเดินมาด้านหน้าและมองอู๋ซินแล้วพูด “ดี ๆ ๆ” สามครั้งติดต่อกัน
“แม้จะอายุยังน้อยแต่กลับมีรูปโฉมที่งดงาม
โตขึ้นจะต้องงามหยาดเยิ้มเป็นแน่ หากอบรมเลี้ยงดูให้ดี อาจสร้างคุณงามความดีให้ข้าได้
ฮ่า ๆ ๆ” จ้งเจี๋ยพูดอย่างดังด้วยท่าทางดีใจ
“เจ้าข้าราชการชั่วช้า
เจ้าจับเพื่อนของข้าไปไว้ที่ใด หากเกิดอะไรขึ้นกับนาง ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่” อู๋ซินแสร้งตะโกนด้วยความโกรธ
เมื่อได้ยินเสียงของนาง
หนึ่งในสตรีงามก็พุ่งออกมาด้านหน้าและตะโกนเรียก “เทียนหลิง”
พร้อมพยายามวิ่งเข้าไป แต่กลับถูกคนดึงตัวไว้ “เซียงเอ๋อร์ อย่าไป
หากเจ้าขัดขืนอาจถูกเฆี่ยนได้” หญิงสาวข้าง ๆ พยายามเกลี้ยกล่อม “แต่นาง....”
“เรารอดูก่อน หากนางถูกเฆี่ยน เราค่อยขอร้องเจ้านั่น” หญิงสาวข้าง ๆ พูดขึ้นอีกครั้ง
“ทางนั้นมีคนตะโกนเรียกเจ้า
ดูเหมือนว่าเจ้าจะมาเพื่อช่วยนางสินะ แต่น่าเสียดายที่เจ้าเองก็โดนจับตัวแล้ว”
หยวนจ้งเจี๋ยพูดด้วยท่าทางยิ้มหยัน แต่ไม่ได้โกรธเพราะคำพูดของนางในตอนแรก
อู๋ซินมองเขาด้วยแววตาของเขาด้วยความเคียดแค้น
“พานางเข้าไปอยู่กับสาวงามคนอื่น
ๆ ทหารทุกนายออกเดินทางกลับเมืองหลวง” หยวนจ้งเจี๋ยออกคำสั่ง
อู๋ซินถูกผลักเข้ามาด้วยความรุนแรง
เซียงเอ๋อร์รีบปรี่เข้าไปประคองนาง “เทียนหลิง เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
เซียงเอ๋อร์ถามด้วยท่าทางร้อนรน
ร่างของอู๋ซินนิ่งไปเล็กน้อยก่อนพูดว่า
“ไม่ต้องเป็นห่วงเซียงเอ๋อร์ ข้าไม่เป็นไร” อู๋ซินปลอบประโลม
“เหตุใดเจ้าจึงโง่เช่นนี้
เห็นคนเยอะแล้วก็ไม่ควรเข้ามา ทำให้เจ้าถูกจับตัวไปด้วยเลย” เซียงเอ๋อร์พูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วงปนตำหนิ
โดยไม่รู้ว่าตนเองควรจะดีใจหรือเสียใจ
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง
เราเป็นเพื่อนกัน และข้าเองก็ไม่มีญาติพี่น้องอยู่ข้างกายแล้ว นอกจากนี้
การที่ข้ามาก็เป็นเรื่องดีที่เราสามารถดูแลกันและกันได้”
อู๋ซินพูดด้วยท่าทางเคอะเขิน
“พอเถิด อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้กันเลย
รีบขึ้นรถม้าก่อนเถิด อีกเดี๋ยวผู้คุมจะมาแล้ว” หญิงสาวชุดดำข้าง ๆ พูดขึ้นเบา ๆ
“ได้เลย ขอบคุณ”
เซียงเอ๋อร์ตอบ “เทียนหลิง เราขึ้นไปกันเถอะ” “อืม”
ขบวนค่อย ๆ มุ่งไปสู่เมืองหลวง
สาวงามทยอยขึ้นรถม้าทีละคน ทหารบางนายเดินไปด้านหน้าเพื่อบังคับม้า ส่วนคนอื่น ๆ เดินไปประกบรถม้าทั้งสองฝั่งเพื่อกันไม่ให้สาวงามหลบหนี
ในรถม้าเงียบสงัดไม่มีผู้ใดส่งเสียงออกมา
หลังจากเซียงเอ๋อร์ขึ้นรถม้าก็โอบกอดเอวและพิงลงที่ไหล่ของอู๋ซินด้วยความรู้สึกผิดมาโดยตลอด
ร่างกายของอู๋ซินแข็งทื่อไปชั่วขณะหนึ่งก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนคลายลง
นางวางมือทั้งสองไว้บนไหล่ของเซียงเอ๋อร์และกอดปลอบโยนเงียบ ๆ
‘เรื่องนี้ช่วยประหยัดเวลาในการเข้าสู่เมืองหลวงมิใช่น้อย
ทำให้ข้ามีเวลาพอที่จะคิดแผนต่อไปได้’ อู๋ซินคิดในใจ
รถม้าค่อย ๆ ขับเคลื่อนไปอย่างช้า
ๆ ภารกิจแรกของอู๋ซินในการเข้าเมืองหลวงดูเหมือนจะราบรื่น
‘เรื่องต่อไป
รอให้ถึงเมืองหลวงค่อยว่ากัน’
เมื่อมองไปยังเซียงเอ๋อร์ที่กำลังพิงไหล่ของนาง
ซึ่งก่อนหน้านี้ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด แต่ตอนนี้กลับผล็อยหลับไปราวกับไม่มีเรื่องคิดมากแล้ว
‘ในเมื่อข้าหลอกใช้นาง
ข้าก็ต้องปกป้องนางไม่ให้เกิดอันตรายด้วยจึงจะเสมอภาคกัน’
อู๋ซินคิดในใจ
พร้อมกันนั้นก็โอบแขนของเซียงเอ๋อร์เข้ามา
และเอียงกายเล็กน้อยเพื่อให้นางรู้สึกสบายขึ้นก่อนจะหลับตาลง คนอื่น ๆ ที่นอนไม่หลับ
เมื่อว่าเห็นนางทั้งสองหลับ ก็คิดได้ว่าหนทางยังอีกไกล
กระวนกระวายใจไปก็ไร้ประโยชน์ ปล่อยใจให้สบายก่อน เสียงเกวียนรถม้าดังเข้ามาในหู
“กึกกัก กึกกัก” คนอื่น ๆ ต่างก็ไม่สนใจเสียงของล้อเกวียนก่อนจะหลับตาลงพักผ่อน
ในเวลานี้ หนานเจียงขึ้นชื่อเรื่องการทำกู่
และเป็นแหล่งต้นกำเนิดของวิชา
พวกเขาถูกขังอยู่ในวิชาต้องห้ามนี้และรอโอกาสเผยวิชาออกไปเพื่อทะเยอทะยานสู่ผู้ปกครองแผ่นดิน
ทว่าวิชานี้ยังไม่ถูกเผยออกไปและไม่มีผู้ใดล่วงรู้
ในเวลานี้
เมื่อวิชากู่ถูกปล่อยออกมา ทุกเผ่าก็เริ่มวุ่นวาย ทั่วทั้งแผ่นดินได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบ
ๆ ความสงบสุขของผืนดินเริ่มหายไป ในเวลานี้จะมีผู้ใดสามารถเอาชนะชะตาเหล่านี้ได้
ใครจะเป็นวีรบุรุษในยามที่โลกกำลังวุ่นวายกัน
ผู้มีวิชาจากทั่วทุกมุมโลกได้แสดงตัวออกมาเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน
ใครจะเป็นผู้อยู่เหนือกฎเกณฑ์ของแผ่นดินใหญ่จงเหิงแห่งนี้กัน วีรบุรุษยอดฝีมือและฮ่องเต้ล้วนต้องได้รับการอบรมและค่อยๆ
เติบโต
ในอนาคตยังไม่มีใครรู้ว่าผู้ใดจะเป็นผู้ปกครองแผ่นดินแห่งนี้
ดอกไม้จะตกเป็นของผู้ใด คงจะสามารถหาข้อสรุปหลังวิกฤตนี้ได้
ชะตาของผู้คนนับไม่ถ้วนจะดีหรือร้าย ไม่มีใครสามารถล่วงรู้ได้
ในขณะที่ฟ้าเริ่มมืดลง
ขบวนได้เดินทางถึงหุบเขาและทำให้มองทางไม่ชัด
“นายท่านขอรับ
ฟ้าเริ่มสลัวทำให้มองทางไม่ชัด เราหยุดค้างแรมกันสักคืน และเริ่มออกเดินทางต่อในวันรุ่งขึ้นดีหรือไม่ขอรับ”
ทหารนายหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยความระมัดระวัง หยวนจ้งเจี๋ยมองไปยังผืนฟ้าก่อนจะเห็นด้วย
ทหารนายนั้นประกาศด้วยเสียงดังลั่น “ทหารทุกนายจงหยุด เราจะพักค้างแรมหนึ่งคืน
นำม้าไปล่ามไว้ และแบ่งกำลังเป็นสองกองเพื่อเฝ้ายามรถม้า สตรีงามให้อยู่ในรถม้า
ไม่ต้องลงมา”
ทหารทุกนายเริ่มปฏิบัติหน้าที่
“เจ้าไปล่ามม้าให้ดี” “เจ้าไปตั้งกระโจม” “ขอรับ”
สตรีงามต่างมองหน้ากันในรถม้า
ก่อนจะหลับตาโอบกอดกันหลับใหลอีกครั้งอย่างอธิบายไม่ถูก
เมื่อเห็นใบหน้าที่นิ่งเฉยของอู๋ซินและเซียงเอ๋อร์ที่เปลี่ยนท่านอน (บนตักของอู๋ซิน)
ภายนอกรถม้า
“นายท่าน
กระโจมถูกตั้งเรียบร้อยแล้วขอรับ” ผู้คุมพูดพร้อมยกมือขึ้นประสานเพื่อคำนับ
หยวนจ้งเจี๋ยเดินไปยังกระโจม หากไม่ใช่เพราะรูปลักษณ์ภายนอก ก็คงสามารถพูดได้ว่าเป็นบ้านหลังหนึ่งเลย
มีเตียงที่อุ่นและสบาย คนใหญ่โตมักจะเสวยสุขได้ไม่ว่าจะเมื่อใดก็ตาม
แต่เบื้องหลังซ่อนความไม่มั่นคงและข้าราชการทุจริตของราชสำนักเอาไว้
ในค่ำคืนที่เงียบสงัด
เงียบราวกับทุกอย่างได้สงบลง น่าเสียดายที่ในความสงบนี้กลับแฝงไว้ซึ่งคลื่นลมที่ถาโถม
ในยามเช้าของวันรุ่งขึ้น
ข้ารับใช้ได้แต่งองค์ให้กับหยวนจ้งเจี๋ย
ทหารทุกนายเตรียมตัวอย่างพร้อมเพรียงเพื่อรอคำสั่งให้ออกเดินทาง
หยวนจ้งเจี๋ยขึ้นม้าก่อนจะออกคำสั่งว่า “ออกเดินทาง” เสียงเกวียนรถม้าดังขึ้น
และมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวง
เมื่อถึงเมืองซินเหอ
“นายท่าน ด้านหน้านี้คือเมืองซินเหอแล้วขอรับ”
หยวนจ้งเจี๋ยมองไปยังข้ารับใช้นายนั้น “ไป เจ้าจงไปหาโรงเตี๊ยมใกล้ประตูเมืองซินเหอ
แล้วจองทั้งหมดเสีย” “ขอรับ”
ข้ารับใช้นายนั้นรีบไปดำเนินการทันทีเมื่อได้รับคำสั่ง
“เฉียนหย่ง เจ้าจงดูแลสาวงามเหล่านั้นให้เข้าเมืองให้เรียบร้อย”
หยวนจ้งเจี๋ยพูดกับผู้คุมในชายวัยกลางคน “ขอรับนายท่าน” เฉียนหย่งโค้งคำนับเป็นคำตอบ
เมืองซินเหอขึ้นชื่อในเรื่องของแม่น้ำ
มีแม่น้ำไหลผ่านใจกลางเมือง และมีอาณาเขตที่กว้างใหญ่
ดังนั้นจึงได้ชื่อว่าเมืองซินเหอ[1]
โรงเตี๊ยมฝูหลาย
เป็นโรงเตี๊ยมที่อยู่ใกล้ประตูเมืองมากที่สุด มีพื้นที่กว้างและทำเลดี
เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับพวกพ่อค้าที่ต้องการหาที่พัก
ธุรกิจของโรงเตี๊ยมฝูหลายจึงค่อนข้างเฟื่องฟู
ไม่มีคอมเม้น