Aa
Aa
Aa

ตอนที่ 1 วิหารผุพัง

 

ลมหนาวพัดโชยมาจากทางทิศเหนือให้ความรู้สึกหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ

 

ภายในวิหารผุพังของหมู่บ้านฟางเจียที่ทิศเหนือติดกับภูเขา เด็กน้อยสามคนในชุดละม้ายคล้ายผ้าขี้ริ้วบาง ๆ กำลังแอบอิงกายกับกองฟางเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นจากความหนาวเย็น

 

“พี่ใหญ่... ข้าหนาวเหลือเกิน” เด็กน้อยฟางหมิงหวยวัย 4 ขวบหน้าซีดขาว เขาพูดออกมาอย่างไร้เรี่ยวแรง ควันสีขาวพวยพุ่งออกจากปากสีม่วงซีด ใบหน้าที่ขาวซีดกับควันสีขาวดูไม่ได้ต่างกันมากนัก ทำเอาฟางฮั่นรู้สึกเจ็บปวดที่เห็นใบหน้าซีดขาวไร้เลือดฝาดของเด็กน้อย 

 

ความเศร้าเกาะกุมจิตใจของเธอจนยากจะพรรณนาออกมาได้

 

“หวยเอ๋อ... อย่าพูดเลย ยิ่งเจ้าพูดมากเท่าไหร่ เจ้าจะยิ่งหนาวมากขึ้นเท่านั้น” ฟางฉือวัย 6 ขวบกระซิบกับน้องชายของตนเองในขณะที่ร่างกายเล็ก ๆ ของเธอก็กำลังสั่นเทาอย่างไร้การควบคุม 

 

ความหนาวกำลังกัดเซาะกระดูกของเธอและน้องชายอย่างเจ็บปวด เสียงที่ถูกเปล่งออกมาอย่างติดขัดแสดงให้เห็นว่าเด็กทั้งสองตกอยู่ในภาวะอันตราย พวกเขาหนาวเกินไป !

 

ฟางฮั่นไม่สามารถห้ามน้ำตาที่ชื้นไปทั้งดวงตาไว้ได้ เธอบีบมือของทั้งสองพร้อมกับโอบกอดน้องสาวและน้องชายของตนให้แน่นขึ้นยิ่งกว่าเดิม

 

ฟางฮั่นอายุเพียง 9 ขวบ เธออยู่ตรงกลางระหว่างเด็กทั้งสองที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับเธอเลยแม้แต่น้อย ภายในจิตใจของเธอตอนนี้เต็มไปด้วยคำสาปแช่งที่มีให้กับพระเจ้าอย่างไม่ขาดปากเท่านั้น !

 

นี่มันเลวร้ายเกินไปหรือเปล่า ? ทำไมถึงปล่อยให้เด็กตัวน้อยเผชิญหน้ากับความทุกข์ทรมานขนาดนี้ ?

 

เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา เธอข้ามมิติมายังยุคสมัยที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ หลังจากนั้นภาพก็ตัดไปกลายเป็นภาพที่เด็กสองคนนี้กำลังตัวสั่นเทาภายใต้สายลมหนาว พวกเขากำลังร้องไห้อยู่ข้างกายของเธอ เสียงของทั้งสองแหบแห้งและสั่นเครือ พวกเขาร่ำร้องอย่างน่าเวทนา 

 

“พี่ใหญ่ ได้โปรดอย่าทิ้งพวกเราไป...…” 

 

แม้เสียงภายในจิตใจของเธอจะกรีดร้องด้วยความไม่เข้าใจมากเพียงใด แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจสั่นไหวกับเสียงน้อย ๆ เหล่านี้

 

เธอใช้เวลาสักครู่หนึ่งเพื่อย่อยความทรงจำในอดีตของสาวน้อยคนนี้ที่หลงเหลือเอาไว้ในหัว สาวน้อยคนนี้เสียชีวิตไปแล้วจากพิษไข้เมื่อไม่กี่นาทีก่อน ขณะนี้เธอจึงเข้าใจถึงสถานการณ์ในปัจจุบันทั้งหมดพร้อมด้วยความรู้สึกหดหู่ทึ่กำลังบีบรัดหัวใจของเธอไว้อย่างปวดร้าว !

 

ก่อนหน้านี้ทั้งสามคนถูกขับไล่ออกจากบ้านในช่วงฤดูหนาวโดยผู้ที่เป็นย่าแท้ ๆ ของตนเอง

 

ในวันที่หนาวเหน็บเช่นนี้ คนแก่ใจดำคนนั้นทำกับเด็กน้อยเหล่านี้ได้อย่างไร ! ให้ตายเถอะ !

 

ฟางฮั่นอดไม่ได้ที่จะเย้ยหยันการกระทำที่ต่ำทรามเหล่านี้อยู่ภายในใจอย่างเงียบเชียบ

 

ปัจจุบันฟางฮั่นตัวจริงได้ล่วงลับไปแล้วจากลมหนาวและพิษไข้ ซึ่งตอนนี้เธอจำเป็นจะต้องสวมวิญญาณของฟางฮั่นและแบกรับความโหดเหี้ยมของสมาชิกในครอบครัวที่ไร้ซึ่งมนุษยธรรม น้องสาวและน้องชายของเธอต่างอยู่ในสภาวะที่อ่อนแอเกินกว่าจะเยียวยา สถานการณ์ที่เลวร้ายทำให้เธอจำเป็นต้องรับบทบาทนี้อย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

 

สิ่งหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในใจของเธอ มันชัดเจนขึ้นจากความทรงจำที่เหลืออยู่ ก่อนที่ฟางฮั่นจะล่วงลับไป สิ่งที่เธอต้องการทำคือการดูแลเด็กทั้งสองคนนี้ให้ดีที่สุด !

 

แต่… เธอคนนั้นกลับไม่สามารถรักษาไว้ได้แม้แต่ชีวิตของตนเอง !

 

ฟางฮั่นรู้สึกว่าตัวของเธอเริ่มแข็งทื่อเรื่อย ๆ แต่ในใจของเธอไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา อย่างไรก็ตามขณะนี้ดวงตาคู่สวยกำลังมองไปรอบ ๆ เพื่อหาอะไรบางอย่างมาช่วยบรรเทาความหนาวเย็นในตอนนี้

 

และแล้วแววตาของเธอได้ทอประกายขึ้นมาอย่างมีความหวังเมื่อเธอเห็นสิ่งของบางอย่างที่เป็นสีเหลืองเข้มตรงหน้า !

 

ด้วยร่างกายที่แข็งทื่อจากความหนาว เธอพยายามเดินไปที่วิหารตรงหน้าพร้อมกับดึงผ้าจีวรที่ถูกซากวิหารทับไว้ออกมาอย่างยากเย็น

 

ฟางหมิงหวยยังเด็กและไม่มีความศรัทธาในเทพเจ้าหรือศาสนาใด เขารู้เพียงว่าเขาจะหนาวเหน็บเมื่อลมเย็นพัดมาอีกครั้ง ส่วนฟางฉือนั้นโตขึ้นแล้ว เธอรู้สึกหวาดกลัวกับผ้าเหล่านี้ขึ้นมาเล็กน้อย เพราะเธอเข้าใจถึงความหมายของมัน

 

ทว่าก่อนที่เธอจะยินยอมให้น้องสาวได้กล่าวอะไรออกมา ฟางฮั่นรีบเอาผ้าที่ได้มาใหม่คลุมร่างกายของพวกเธอทั้งสามเอาไว้อย่างแนบแน่น แขนสองข้างโอบกอดพี่น้องของเธอเอาไว้เต็มอ้อมแขน

 

ประเทศนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่นับถือพระพุทธศาสนา แม้ว่าวิหารแห่งนี้จะพังทลายและเสื่อมสภาพไปแล้ว แต่ครั้งหนึ่งมันเคยเต็มไปด้วยธูปเทียนแห่งการสักการะบูชา ผ้าที่วางไว้ใต้ศาลนั้นหนามาก แม้ว่ามันจะหยาบและเก่าไปบ้างแต่มันก็ไม่ได้สกปรกหรือขาดหลุดรุ่ย อีกทั้งมันยังต้านทานความหนาวเย็นได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุดในตอนนี้ ซึ่งมันทำให้ทั้งสามคนรู้สึกอุ่นขึ้นมา

 

ฟางหมิงหวยอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ “อ่า!” 

 

ในที่สุดเขาก็รู้สึกอบอุ่นเสียที พ่อหนุ่มน้อยเผยรอยยิ้มมีความสุขออกมา

 

ฟางฉือเสียงสั่นเล็กน้อย เธอสับสนจนพูดไม่เป็นภาษา “พะ-พะ-พี่ใหญ่...” 

 

ฟางฮั่นตอบรับอย่างไม่ค่อยใส่ใจ แต่ถึงอย่างนั้นน้ำเสียงกระซิบของเธอพยายามที่จะปลอบโยนเด็กน้อยคนนี้ “พระผู้เป็นเจ้านั้นกำลังแสดงความเห็นใจต่อพวกเรา ท่านไม่ต้องการให้เราทั้งสามคนหนาวตายไงล่ะ ตอนนี้เราเพียงแค่หยิบยืมสิ่งของเล็กน้อยจากท่านเท่านั้น เมื่อเราผ่านพ้นจากสถานการณ์เลวร้ายตรงนี้ไปได้ เราค่อยกลับมาแสดงความกตัญญูต่อท่านในภายหลังดีหรือไม่ ? แน่นอนว่าท่านไม่ตำหนิเราเพียงเพราะเรื่องเท่านี้แน่”

 

ขณะที่เธอพูดออกไปเช่นนั้น ภายในใจของเธอกลับคิดว่าหากมันไม่มีหนทางและคงไม่สามารถจุดไฟบนพื้นที่เปียกชุ่มเช่นนี้ได้ เธอคงจะหักรูปแกะสลักที่ทำมาจากไม้และทำให้มันกลายเป็นฟืนแทน....

 

หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของพี่ใหญ่ ฟางฉือปิดปากเงียบและไม่มีใครรู้ว่าภายในใจเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ร่างกายเล็ก ๆ ของเธอผ่อนคลายลงกว่าตอนแรกมาก เธอปรับท่าทางให้เข้ากับอ้อมแขนของพี่สาวอย่างไม่รู้ตัว ในขณะที่เธอรู้สึกอบอุ่นและสบายตัวขึ้นเป็นทวีคูณ

 

สามพี่น้องห่มผ้าลินินที่ทั้งเก่าและสกปรกไว้อย่างแนบแน่น ร่างกายของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความอบอุ่น

 

แต่เด็กเล็กนั้นไม่สามารถอดทนต่อความหนาวได้นาน พวกเขาจะอยู่ภายในผ้าเหล่านี้ได้นานแค่ไหนกันเชียว ?

 

“หลานฮั่น… หลานฉือ… หวยเอ๋อ ! ”

 

เสียงเรียกหนึ่งดังขึ้นโดยฉับพลันทำให้วิญญาณของทั้งสามถูกกระชากขึ้นมาจากการหลับใหล ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นที่หน้าประตูวิหาร เสียงเรียกของเขาดังและดูตื่นเต้นอย่างมากเมื่อได้พบกับทั้งสาม เขาวิ่งเข้ามาด้านในอย่างตื่นเต้น

 

ชายอายุประมาณ 30 ปีถือผ้าห่มขนาดใหญ่และเสื้อผ้ามัดหนึ่งอยู่ในวงแขนกว้าง เขาตื่นเต้นอย่างมากเมื่อเห็นเด็กน้อยทั้งสามซึ่งกำลังนั่งตัวสั่นเทาอยู่ข้างกองฟางอย่างหนาวเหน็บ ใบหน้าของทั้งสามซีดเซียวไร้สีเลือดฝาดราวกับถูกแช่แข็งมาเนิ่นนาน แววตาเจ็บปวดฉายออกมาอย่างไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้ ความเจ็บปวดบีบรัดหน้าอกของเขาจนแทบจะหายใจไม่ออก

 

เขาไม่มีเวลาตำหนิที่เด็กเหล่านี้นำผ้าใต้วิหารมาใช้โดยพลการ มือทั้งสองรีบกางผ้าห่มออกอย่างเร่งรีบและห่มมันให้กับทั้งสามโดยพลัน ดวงตาของเขาเริ่มเปียกชื้นและกล่าวโทษตนเองอย่างขุ่นเคืองใจ “มันเป็นความผิดของอาหกเอง อาหกมาช้าเอง ! ”

 

ผ้าห่มหนากั้นลมหนาวให้กับเด็ก ๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม มันสร้างความอบอุ่นได้เป็นเวลานาน ใบหน้าของเด็ก ๆ เผยรอยยิ้มแห่งความสุขออกมา 

 

ฟางฮั่นรู้สึกมีความสุขมาจากก้นบึ้งของหัวใจอย่างช่วยไม่ได้ ดวงตาของเธอค่อย ๆ เปียกชื้นเมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มดีขึ้น หญิงสาวที่แข็งแกร่งอายุกว่าสามสิบปีซึ่งอยู่ในร่างของเด็กอายุเก้าขวบไม่อาจต้านทานน้ำตาที่กำลังไหลรินจากความปีติในครั้งนี้ได้เลย

 

เธอจะตายได้อย่างไรถ้าหากว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นพี่น้องที่น่าสงสารอยู่ล้อมรอบตัวของเธอ พวกเขายังเด็กเกินกว่าต้องมาเผชิญเรื่องแบบนี้…

 

“ข้าขอขอบคุณอาหกมาก…” ฟางฮั่นกล่าวออกมาอย่างจริงใจ “ข้านึกว่าพวกเราทั้งสามเกือบจะได้ตายอยู่ในวิหารแห่งนี้เสียแล้ว”

 

จากเศษเสี้ยวของความจำที่หลงเหลือเอาไว้ นี่คืออาหกจากตระกูลฟางและเป็นลูกชายคนสุดท้องของปู่คนที่สาม เขาคนนี้ปฏิบัติต่อเด็กน้อยทั้งสามอย่างมีเมตตาเสมอมา

 

ฟางฉางชิ่งได้ยินประโยคแห่งความเป็นความตายที่หลานสาวกล่าวออกมาก็ยิ่งทำให้เขาเจ็บปวดใจ เขาเห็นใบหน้าที่งุนงงของเด็กอีกสองคนซึ่งกำลังจับจ้องเขาด้วยความประหลาดใจยิ่งทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดหัวใจอย่างยิ่ง 

 

ชายหนุ่มที่แข็งแกร่งและมีน้ำอดน้ำทนอยู่เสมอถึงกับกลั้นน้ำตาไม่ไหว เขาหันหลังกลับพร้อมกับใช้มือหยาบกร้านปาดแก้มทั้งสองเพื่อปาดน้ำตาที่หลั่งรินออกมาให้หมดไป หลังจากนั้นเขาหันหลังกลับมาอีกครั้งเพื่อตรวจสอบใบหน้าเขียวคล้ำของเด็ก ๆ 

 

ชายวัยกลางคนรีบแกะเสื้อผ้าที่มัดไว้อย่างเร่งรีบพร้อมกล่าวว่า “ นี่คือเสื้อผ้าเก่าของฟางหรู นางหยิบมาให้ข้าก่อนที่จะออกจากบ้านมา เจ้าควรจะใส่มันซะ เดี๋ยวอาจะพากลับบ้านนะ”

 

เมื่อได้ยินประโยคนั้น ในคราวแรกเด็กเล็กทั้งสองราวกับว่าจะดีใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพลันเปลี่ยนสีหน้าพร้อมกล่าวออกมาพร้อมกันอย่างหวาดกลัวและเริ่มถอยห่างออกไป “ไม่...”

 

สิ่งที่ฟางหมิงหวยและฟางฉือได้พบเจอนั้นเลวร้ายเกินไป ทั้งสองดูทุกข์ทรมานใจและไม่ต้องการพบเจอเหตุการณ์แบบนั้นอีกครั้ง !

 

สิ่งนี้กำลังจะบอกอะไร เด็กเล็กอยู่ในสถานการณ์ที่กำลังจะถึงแก่ความตายแต่กลับไม่ยอมกลับบ้าน !

 

ฟางฉางชิ่งเก็บความรู้สึกที่บีบรัดหัวใจเอาไว้อย่างอดกลั้นพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มันเป็นเพราะอาหกเองที่พูดไม่ชัดเจน อาไม่ให้พวกเจ้ากลับไปที่บ้านนั้นหรอก ไปเถิด ไปที่บ้านของอา... ตอนนี้น้าหกกำลังเตรียมโจ๊กร้อน ๆ ไว้รอพวกเจ้าอยู่”

 

ฟางหมิงหวยและฟางฉือเผยสีหน้าผ่อนคลายออกมาพร้อมกับยิ้มกว้าง 

 

“ข้าคิดถึงโจ๊กของน้าหกที่สุด!”

 

 เสียงแหลมอีกฝ่ายเริ่มโต้ตอบด้วยเช่นกัน “น้าหกทอดปลาได้ยอดเยี่ยมที่สุด!”

 

ฟางฉางชิ่งอดไมได้ที่จะหัวเราะและกล่าวตอบ “แน่นอนว่ามีทุกอย่างอยู่ที่นั่น!”

 

ในที่สุดหลังจากที่เธอได้ข้ามภพมาอยู่ในโลกใบนี้ก็มีช่วงเวลาที่ฟางฮั่นได้ยิ้มออกมาอย่างแท้จริงเสียที...

 

Comment

  • ไม่มีคอมเม้น