ตอนที่ 6
ค่ำคืนนั้น
แสงสว่างจากกำแพงทั้งสองด้านสาดส่องทั่วทั้งห้องโถงใหญ่สว่างไสว ไป๋ซิงนั่งรับประทานอาหารพร้อมกับครอบครัว บิดาของเขานั่งอยู่บนที่นั่งประจำที่ฝั่งตรงข้ามในขณะที่มารดานั่งอยู่ทางฝั่งซ้ายมือ
“ท่านพ่อ ท่านแม่”
ไป๋ฉีและเหม่ยเฟิ่งเงยหน้าขึ้นมองบุตรชาย ที่ผ่านมาแม้ว่าความเฉลียวฉลาดของไป๋ซิงจะสร้างความปลาบปลื้มยินดีให้แก่ทั้งสอง แต่ก็ไม่ถึงกับสร้างความแตกตื่นอันใด ด้วยขนาดอันกว้างใหญ่ไพศาลของโลกใบนี้ มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีคนผู้เปี่ยมล้นไปด้วยสติปัญญาและพรสวรรค์มากกว่าไป๋ซิงอาศัยอยู่มากมาย
“ข้าอยากฝึกตน ข้าอยากฝึกฝนเพื่อเป็นผู้อมตะ” ไป๋ซิงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เมื่อได้ยินที่บุตรพูดด้วยสีหน้าขึงขัง เหม่ยเฟิ่งอดหัวเราะออกมามิได้ “ผู้อมตะงั้นหรือ ไป๋ฉีลูกของเราบอกว่าเขาอยากเป็นผู้อมตะ ลูกของเราเหมือนกับท่านเลย”
“ผู้อมตะ ไป๋ซิงลูกรู้อะไรเกี่ยวกับการเป็นผู้อมตะไหม” ไป๋ฉีถามกลับ
“ข้ารู้จากการอ่านหนังสือบางเล็กน้อยเกี่ยวกับผู้ฝึกตน ท่านพ่อโปรดชี้แนะ” หลังจากที่อ่านหนังสือมากมายหลายเล่ม ไป๋ซิงพอจะมีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับวิถีแห่งความเป็นอมตะอยู่บ้างแล้ว แต่ก็ไม่ได้มีเรื่องเกี่ยวกับการฝึกฝนความเป็นอมตะมากเท่าไร
“ข้ารู้แค่เรื่องระดับขั้นทั้งเจ็ดขอรับท่านพ่อ”ไป๋ซิงกล่าว
“ลำดับแรกคือ ระดับธรรมชาติซึ่งก็คือระดับของสิ่งมีชีวิตทั่วไปหากว่าเป็นมนุษย์จะมีอายุขัยประมาณหนึ่งร้อยปี”
“ถัดขึ้นไปในลำดับที่สองก็คือ ระดับเหนือธรรมชาติมนุษย์ที่กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติจะมีอายุขัยยืนยาวได้ถึงสองร้อยปี”
“ลำดับที่สามคือ ระดับตำหนักม่วงผู้ที่ฝึกปรือถึงขั้นนี้จะถูกเรียกว่าสาวกตำหนักม่วงมีอายุขัยยืดยาวออกไปถึงห้าร้อยปี”
“ผู้ที่ฝึกปรือบรรลุถึงลำดับที่สี่ ซึ่งก็คือ ระดับหมื่นดาราร่วมสำแดงจะถูกยกย่องเป็นปรมาจารย์หมื่นสำแดงมีอายุขัยยืนยาวถึงแปดร้อยปี”
“เมื่อบรรลุถึงลำดับที่ห้าระดับจักรวาลแรกกำเนิดผู้ฝึกปรือค่อยถือว่าเริ่มเข้าสู่วิถีแห่งเต๋าที่แท้จริงในฐานะของนักพรต”
“เหนือขึ้นไปคือระดับว่างเปล่าผู้ที่ฝึกปรือถึงขั้นนี้สามารถเรียกขานได้ว่าเป็นผู้อมตะพสุธาซึ่งจะเริ่มพบพานการทดสอบจากทัณฑ์สวรรค์ หากมิอาจผ่านพ้นได้จะพบกับความพินาศถึงขั้นร่างสลายวิญญาณดับสูญ ต่อให้ฝืนรักษาชีวิตเอาไว้เส้นทางสู่วิถีแห่งความเป็นอมตะก็จะสิ้นสุดลง คนผู้นั้นจะกลายเป็นผู้อมตะเสเพลที่ไม่อาจรุดหน้าสู่ระดับต่อไป แม้จะยังรักษาพลังฝีมือที่เทียบเท่ากับเหล่าผู้อมตะพสุธาเอาไว้ได้ก็ตาม”
“หากสามารถข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ไปได้จึงเข้าถึงลำดับที่เจ็ดซึ่งก็คือระดับสุดท้าย ระดับผู้อมตะสวรรค์และมีแต่ฝึกปรือจนบรรลุถึงระดับนี้ ผู้ฝึกตนจึงจะหลุดพ้นจากการถูกผูกมัดของธาตุและขันธ์ทั้งห้าและกลายเป็นผู้อมตะที่แท้จริง”
เมื่อไป๋ซิงกล่าวจบทั้งไป๋ฉีและเหม่ยเฟิ่งต่างตกใจมาก
“ไป๋ซิงเจ้าศึกษาจากหนังสือรึ”ไป๋ฉีถาม
“ขอรับ”
“ในเมื่อเจ้ารู้ระดับทั้ง7แล้วแต่มันยังมีระดับต่อไปที่เจ้ายังไม่รู้อีกแต่ตอนนี้รู้แค่นี้ก็พอและข้าจะเล่าเรื่องในยุคสมัยก่อนให้เจ้าได้ฟัง” ไป๋ฉีไม่อยากให้บุตรชายของเขาท้อเพราะการฝึกตนนั้นเป็นสิ่งที่ยากลำบากและโดดเดี่ยวในเวลาเดียวกัน
“ในยุคแห่งเทพอสูร เหล่าเทพอสูรล้วนถือกำเนิดขึ้นเองจากฟ้าดินตามธรรมชาติ ทั้งยังมีอิทธิฤทธิ์มากมายตั้งแต่เกิดเช่นเดียวกับเหล่าเทวะและอสูรแห่งเทวโลก พวกมันถือเป็นสิ่งมีชีวิตระดับเหนือธรรมชาติโดยกำเนิดและมีแต่พวกมันที่สามารถฝึกปรือวิถีแห่งความเป็นอมตะได้”
“อย่างไรก็ตามสวรรค์ไม่เคยละทิ้งผู้มีความตั้งใจ จึงปรากฏยอดคนมากมายในอดีตที่พากเพียรฝึกฝนจนค้นพบเคล็ดวิชาแห่งความเป็นอมตะที่จะช่วยพัฒนาให้สิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติสามารถทะยานขึ้นเทียบเคียงกับสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติได้ แต่ในการขัดขืนเจตนาดั้งเดิมของสวรรค์และฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ของธรรมชาติเช่นนี้ ความลำบากยากเข็ญที่จะต้องเผชิญความยากลำบากที่ผู้คนทั่วไปจะรับไว้ได้ เจ้ายังคิดจะฝึกปรืออยู่อีกหรือ”
ไป๋ซิงตกอยู่ในห้วงภวังค์แห่งความคิด สิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติเช่นนั้นหรือ หากมิใช่เกิดเหตุหายนะขึ้นในยมโลก เขาคงได้ไปเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติในเทวโลกแต่แรกแล้ว
“ขอรับท่านพ่อข้าอยากจะเป็นผู้อมตะสวรรค์”ไป๋ซิงตอบกลับไป๋ฉี
“เอาละในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว ข้าก็จะไม่ขัดขวางเส้นทางของเจ้า แต่ต่อให้เจ้าสามารถเข้าสู่ระดับเหนือธรรมชาติ อุปสรรคต่อไปคือการเข้าสู่ระดับตำหนักม่วง มีแต่เมื่อจัดตั้งตำหนักม่วงขึ้นในร่างสำเร็จ ค่อยถือว่าเจ้ามีคุณสมบัติในการพาตัวเองเข้าสู่วิถีแห่งความเป็นอมตะ แต่ความสำเร็จนั้นมีเพียงหนึ่งในแสนหรือกระทั่งหนึ่งในล้าน เจ้ายังคิดจะฝึกปรืออยู่อีกหรือ”
ไป๋ซิงผงกศีรษะอย่างมั่นคง เขาทราบอยู่แต่แรกแล้วว่านี่มิใช่เรื่องง่ายดาย ในขณะเดียวกันก็ตั้งสมาธิตั้งใจฟังอย่างจดจ่อ ตำรับตำราที่ตระกูลไป๋แห่งเขตปกครองตะวันตกรวบรวมไว้เพียงพูดถึงอุปสรรคทั้งสองนี้ ไม่มีเล่มไหนที่กล่าวถึงเรื่องราวหลังจากนี้อีก
“วันที่เจ้าเดินเข้าสู่วิถีแห่งความเป็นอมตะหรืออีกนัยหนึ่งวันที่เจ้าจัดตั้งตำหนักม่วงขึ้นในร่างได้สำเร็จ นั่นเท่ากับว่าเจ้าเริ่มท้าทายลิขิตสวรรค์ ทุกสามร้อยปีนับจากวันนั้นเจ้าจะถูกสวรรค์ทดสอบหนึ่งครั้ง ทั้งยังต้องเผชิญกับภัยพิบัติในทุกๆเก้าร้อยปี ดังที่ผู้ฝึกตนมีคำกล่าวว่า ‘สามหายนะเก้าภัยพิบัติ’ หายนะที่เกิดทุกสามร้อยปียังอาจสามารถหลีกเลี่ยงหรือรับมือได้ไม่ยากนัก แต่ภัยพิบัติที่จะมาถึงในทุกเก้าร้อยปีนั้นกลับยากที่จะข้ามผ่านได้ จนกว่าจะถึงวันที่เจ้าสำเร็จเป็นผู้อมตะสวรรค์ เจ้าจะต้องพบกับบททดสอบเหล่านี้ไปชั่วชีวิต”
สามหายนะเก้าภัยพิบัติ ไป๋ซิงรีบระงับความแตกตื่นแล้วทบทวนคำบอกเล่าของบิดาจนขึ้นใจและใจเย็นลง เขายังสนใจว่าสามหายนะเก้าภัยพิบัติตัวเองจะผ่านไปได้หรือไม่
**********
สายตาของไป๋ฉีและเหม่ยเฟิ่งต่างจับจ้องมาที่บุตรชาย ถึงจะเห็นเขาแสดงความแตกตื่นขึ้นบนใบหน้าและสงบลงอย่างรวดเร็วแล้ว ไป๋ฉีผงกศีรษะเล็กน้อยด้วยความพึงพอใจ ลอบครุ่นคิดขึ้นว่าเด็กน้อยเจ้าก็เข้าใจในความยากลำบากแต่ก็ไม่ได้ท้อแท้ต่ออุปสงค์แต่อย่างใด
“ลูกเรายังเล็กนัก อย่าได้ข่มขู่เขาถึงเพียงนี้ได้หรือไม่” เหม่ยเฟิ่งรีบกล่าวตัดบทขึ้น
“ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไร” ไป๋ซิงหันไปบอกผู้เป็นมารดา สีหน้ากลับคืนสู่ความร่าเริงอย่างรวดเร็ว ไป๋ฉีสังเกตุเห็นถึงเขาจะได้รับฟันแล้วแตกตื่นและสงบลงได้อย่างรวดเร็วก็แค่ทำให้ไป๋ฉีพอใจเท่านั้น แต่สีหน้าของเขากลับคืนสู่ความร่าเริงอย่างรวดเร็วนิต่างหากที่ทำให้ไป๋ฉีประหลาดใจ
“ท่านพ่อ ตอนนี้ข้าขอเพียงตั้งใจฝึกปรือให้เข้าสู่ระดับเหนือธรรมชาติและตำหนักม่วงได้ก็พอใจแล้ว เรื่องสามหายนะเก้าภัยพิบัตินั้นยังห่างไกลอีกมากนัก”
“เจ้าคิดได้เช่นนั้นก็ดี วิถีสู่ความเป็นอมตะยากลำบากมาก แม้แต่ผู้คนทั่วทั้งเทือกเขาดอยทะลุฟ้านี้ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็เพียงอยู่ที่ระดับสาวกตำหนักม่วงเท่านั้น ถึงต่อให้นับรวมทั่วทั้งจักรวรรดิ์ดาราสวรรค์ ในช่วงเวลานับล้านปีอาจมีผู้สำเร็จเป็นผู้อมตะสวรรค์เพียงคนเดียวเท่าไร”
“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ”ไป๋ซิงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
ยิ่งเขาฝึกเคล็ดวิชาให้เพ่งจิตว่างเปล่าไปยังรูปของเทพธิดาหนี่วาก็จะช่วยเพิ่มโอกาสที่เขาจะสำเร็จเป็นผู้อมตะสวรรค์เร็วเท่านั้น แต่ก็ยังมีอุปสงค์อีกมากที่เขาต้องก้าวผ่านอย่างที่เจ้าตำหนัก หลินจื่อผิงได้บอกเขาเอาไว้แล้วว่า
“เจ้ายังคิดจะฝึกตนเป็นผู้อมตะอยู่อีกหรือไม่” บิดาของเขาถามย้ำ
“แน่นอนขอรับ” ไป๋ซิงตอบรับทันที
ไป๋ฉีผงกศีรษะอย่างพึงพอใจหากบุตรของเขายอมล้มเลิกความตั้งใจเพราะได้รับฟังถึงความยากลำบากในการฝึกปรือเขาคงจะผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง แน่นอนเขาย่อมไม่รู้ว่าไป๋ฉีได้รับทราบถึงความยากลำบากของการเข้าสู่วิถีแห่งความเป็นอมตะมาตั้งแต่แรกแล้ว
“แต่ทว่า” ไป๋ฉีขมวดคิ้ว “ตอนนี้เจ้ายังเด็กเกินไป เส้นลมปราณในร่างเจ้ายังมิอาจรับผลกระทบจากการฝึกปรือเคล็ดวิชาอมตะระดับสูงที่ลึกล้ำ ส่วนเคล็ดวิชาทั่วไปก็ไม่คู่ควรให้เจ้าได้ฝึกฝนมัน”
“ท่านพ่อข้าคิดว่าจะฝึก เคล็ดวิชากายาเทพอสูรก่อนเพื่อเป็นพื้นฐานด้านร่างกายขอรับ”
“นี่เจ้ารู้จักกระทั่งกายาเทพอสูรเชียวหรือ” ไป๋ฉีอดประหลาดใจมิได้ วันนี้ไม่รู้ว่าเขาประหลาดใจมากี่ครั้งแล้ว
เหม่ยเฟิ่งหัวเราะเบาๆแล้วกล่าวอย่างเอ็นดู “ดูท่าลูกของเราจะอ่านหนังสือมามากมิใช่น้อย เขารู้กระทั่งว่าการฝึกปรือสู่วิถีอมตะทำได้ถึงสองทาง”
การฝึกฝนในวิถีแห่งความเป็นอมตะสามารถกระทำได้สองทาง
ทางแรกคือการฝึก ‘พลังปราณ’ นี่เป็นหนทางหลักที่ผู้คนมากกว่าเก้าในสิบเลือกที่จะฝึกฝน ผู้ฝึกจะสามารถเรียกใช้ของวิเศษ การสร้างหุ่นวิญญาณ บงการฝูงสัตว์ประหลาด สร้างค่ายกล หรือแม้กระทั่งฝึกฝนวิชามาร จึงนับได้ว่าเป็นเส้นทางที่โดดเด่นชัดเจน
ทางที่สองคือการฝึก ‘กายาเทพอสูร’ เนื่องจากเหล่าเทพอสูรนั้นถือกำเนิดจากธรรมชาติและมีพลังวิเศษมาตั้งแต่เกิด แม้แต่ผานกู่ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ก็เป็นเทพอสูรผู้ถือกำเนิดมาตั้งแต่ยุคจักรวาลแรกกำเนิด ดังนั้นจึงมียอดฝีมือมากมายที่พากันค้นหาวิธีการฝึกฝนร่างกายเพื่อให้ได้มาซึ่งพลังที่เทียบเท่ากับเหล่าเทพอสูร ร่างที่คงกระพัน ร่างที่มากด้วยอิทธิฤทธิ์ ร่างที่สามารถจำแลงเป็นสามเศียรหกกร ร่างที่สามารถก่อกำเนิดได้ใหม่จากเลือดเพียงหยดเดียว ในระดับเดียวกันนั้นผู้ฝึกฝนกายาเทพอสูรจะสามารถเอาชนะผู้ฝึกฝนพลังปราณได้อย่างไม่ยากเย็น
“เจ้ารู้แล้วหรือไม่ ว่ากายาเทพอสูรนั้นยังฝึกได้ยากเย็นยิ่งกว่าพลังปราณอีก” ไป๋ฉีกล่าวเตือนสติบุตรชาย
“ข้าทราบท่านพ่อ ข้าจะเริ่มฝึกกายาเทพอสูรก่อน หลังจากนั้นค่อยฝึกพลังปราณ เคล็ดวิชาทั้งสองนี้สามารถฝึกร่วมกันได้ ถ้าข้าสามารถฝึกฝนทั้ง 2 อย่างได้และรวมพลังกันแล้วพลังก็จะยิ่งมากขึ้น แต่ถ้าข้าไม่สามารถฝึกฝนอย่างใดอย่างหนึ่งได้เมื่อถึงเวลาค่อยมุ่งเน้นในเส้นทางที่เหมาะกับข้าที่สุด ท่านกล่าวเองมิใช่หรือว่าการฝึกพลังปราณในตอนนี้จะส่งผลเสียกับเส้นลมปราณของข้า เช่นนั้นกายาเทพอสูรกลับเป็นตัวเลือกอันเหมาะสม เพราะสามารถฝึกได้โดยมิต้องกังวลต่อข้อจำกัดเรื่องเส้นลมปราณ”
สองสามีภรรยาสบตากัน บุตรชายผู้นี้คงลอบศึกษาและไตร่ตรองถึงเรื่องนี้มาก่อนแล้ว เป็นเรื่องจริงที่เคล็ดวิชากายาเทพอสูรนั้นไม่ส่งผลกระทบต่อเส้นลมปราณในร่างกาย เนื่องจากเทพอสูรมีโครงสร้างร่างกายที่แตกต่างกันไปมากหลาย เคล็ดวิชาดังกล่าวจึงเน้นเพียงการเพาะสร้างร่างกายและอวัยวะภายในเท่านั้น
“เช่นนั้นก็ได้ ตระกูลไป๋ของเราเก็บรักษาเคล็ดวิชากายาเทพอสูรรวมทั้งสิ้นยี่สิบเล่ม ข้าจะให้เจ้าลองเลือกดูว่าเจ้าอยากฝึกฝยเคล็ดวิชาใด”
“ขอบคุณขอรับท่านพ่อ”ไป๋ซิงรีบรับคำด้วยความยินดี
“ท่านเฮยเซ่อ”
ชายหนุ่มผมดำเจ้าของดวงตาแคบเรียวที่เปล่งประกายสีแดงจางๆค่อยๆปรากฏตัวออกมาจากความมืดมิด ไป๋ซิงได้รับรู้มาก่อนแล้วว่าท่านเฮยเซ่อของเขาผู้นี้ คือสัตว์อสูรที่บรรลุระดับขั้นเหนือธรรมชาติ
“ท่านเฮยเซ่อ” ไป๋ซิงคารวะ
จากความรู้ที่ได้รู้จากหนังสือมานั้นสัตว์ร้ายส่วนมากล้วนมีอายุขัยยาวนาน บางชนิดยังมีสติปัญญาตลอดจนสัญชาตญาณอันสูงส่ง แม้ไม่มีผู้ใดถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้ ก็ยังสามารถดูดซับธาตุพลังแห่งธรรมชาติไว้ในร่างกายจนถึงระดับที่สามารถข้ามขอบเขตขึ้นเป็นสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติด้วยตนเองและกลับกลายเป็นสัตว์อสูรในที่สุด
“ท่านเฮยเซ่อช่วยเดินทางไปยังหอตำราของตระกูล เพื่อนำเอาคัมภีร์เคล็ดวิชากายาเทพอสูรฉบับคัดย่อทั้ง20เล่มมาให้แก่ลูกซิงหน่อย”
“นำคัมภีร์เคล็ดวิชากายาเทพอสูรให้แก่ไป๋ซิงรึเจ้าแน่ใจแล้วรึไป๋ฉี” ท่านเฮยเซ่อปรายตามองไปที่ไป๋ซิงแล้วหัวเราะเสียงดัง
“ได้สิ”
“หลานชายของเราผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ” ท่านเฮยเซ่อยิ้มในขณะที่ร่างหลอมกลืนหายไปกับความมืดรอบตัว
สายลมพลิ้วพัดวูบในห้องในห้องเก็บ ชายหนุ่มผมสีดำปรากฎตัวขึ้นกลางห้องอย่างไร้ร่องรอยให้สืบสาว
“ท่านเฮยเซ่อท่านต้องการสิ่งใด”มีผู้เฒ่าคนหนึ่งนั่งอยู่บนโต๊ะในห้องตำรา
“ข้าต้องการเคล็ดวิชากายาเทพอสูรฉบับย่อทั้ง20เล่มให้แก่ไป๋ฉี”เฮยเซ่อกล่าวออกมา
ผู้เฒ่าคนนั้นรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้าเดินไปยังประตูด้านหลังสักพักก็กลับออกมาพร้อมกับหนังสือทั้ง20เล่มพร้อมยื่นให้ครับเฮยเซ่อ
เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้วร่างของเขาก็หลอมกลืนหายไปกับความมืดอย่างไร้ร่องรอย
************************************************************
ฝากกดไลค์ กดแชร์ กดติดตามช่องทางyoutube ด้วยนะครับ
ช่อง เล่าไปเรื่อย Channel
https://www.youtube.com/channel/UCq0jhJfgu3BFHkCtMgcTBcQ
ไม่มีคอมเม้น