ตอนที่ 2
อู๋ซินลงใต้
ในตอนที่ผู้นำชนเผ่าและกำลังพลมาถึง
ก็เหลือเพียงข้าและท่านแม่ของเจ้าเท่านั้นที่ยังยืนอยู่ ข้าประคองนางถอยออกมา ท่านผู้นำชนเผ่าได้เข้าไปสกัดกั้นนักฆ่า
คนที่ล้มลงมากขึ้นเรื่อย ๆ ท่านแม่ของเจ้าจึงพยายามจะใช้พลังอีกครั้ง แต่ถูกท่านผู้นำชนเผ่าห้ามเอาไว้
เมื่อเห็นว่ากำลังพลน้อยลงเรื่อย
ๆ ท่านผู้นำชนเผ่าจึงใช้พลังทั้งหมดชะลอการเคลื่อนไหวของนักฆ่า เพื่อให้คนอื่น ๆ ได้พัก
โดยพวกเขามีเจตนารมณ์ที่แน่วแน่ ซึ่งก็คือการคุ้มครองท่านแม่ของเจ้าราวกับไม่คิดจะมีชีวิตรอดกลับไป
หัวหน้าของคนชุดดำได้ใช้กำลังภายในทั้งหมดเพื่อโจมตีไปที่ท่านผู้นำชนเผ่า
ทำให้ท่านได้รับบาดเจ็บ ในเวลานั้น กำลังพลของทั้งสองฝ่ายต่างก็เท่ากัน หัวหน้าของอีกฝั่งเองก็ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
จึงเริ่มกระวนกระวายใจว่าจะไม่สามารถสังหารท่านแม่ของเจ้าได้ เขาจึงปรี่เข้ามาหาพวกเราด้วยความรวดเร็ว
แต่ข้าได้เข้าไปหยุดการเคลื่อนไหวของเขาไว้ และเนื่องจากก่อนหน้านี้เจ้านั่นได้ใช้กำลังภายในทั้งหมดไปแล้ว
ข้าจึงใช้โอกาสนั้นปัดอาวุธทิ้งไปได้ เจ้านั่นจึงใช้ลูกดอกพิษ ในเวลานั้น จิตใต้สำนึกข้าสั่งให้หลบหลีกอย่างไม่รู้ตัว
ลืมไปว่าด้านหลังคือตำแหน่งที่ท่านแม่ของเจ้ายืนอยู่ แต่แล้วท่านผู้นำก็เข้ามาปกป้องนางไว้
หลังจากที่ข้าสังหารนักฆ่าและผู้ลอบสังหารที่เหลืออีกสองนาย
ก็พบว่าท่านแม่ของเจ้ากำลังกอดท่านผู้นำชนเผ่าทั้งน้ำตา เมื่อข้าวิ่งไปถึงตัวพวกเขาก็พบว่าสายไปแล้ว
ท่านแม่ของเจ้าทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส
ท่านผู้นำชนเผ่าเกรงว่านางจะปลิดชีพตนเอง ท่านเพียงหวังให้นางมีชีวิตที่ดีและไม่คิดเคียดแค้น
ภาพในวันนั้นข้ายังจำได้อย่างชัดเจน
ผืนดินเต็มไปด้วยโลหิตและกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง
ทันใดนั้น หิมะก็ตกลงมาอย่างหนักราวกับเพื่อปกคลุมสายโลหิตบนผืนดินให้คืนสู่ความบริสุทธิ์ดังเดิม
เมื่อกลับไปยังเผ่า ท่านแม่ก็ได้ให้กำเนิดเจ้าก่อนกำหนด
แต่เนื่องจากนางมีพลังที่กล้าแกร่ง เจ้าจึงแข็งแรงดั่งเช่นทารกทั่วไป
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จิตใจของนางก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
......
“ถึงแล้วขอรับคุณหนู”
เม่ยหลิงกล่าว บนถนนน้ำแข็งที่วิจิตรพิสดารเส้นนี้ มีบางสิ่งที่มองไม่เห็นซ่อนอยู่
“คุณหนู ตอนแรกข้าได้ตรวจสอบไปแล้ว ปีนั้นคนเหล่านั้นล้วนสิ้นชีพแล้ว
บ้างก็เป็นชาวตงหลี บ้างก็เป็นชาวโม่หลิน ท่านสามารถสืบจากองครักษ์เงาของราชสำนักได้
ที่คอของชายชุดดำเหล่านั้นจะมีรอยสักลายมังกรและดอกบัว
หรืออาจเป็นคนจากสองพรรคที่เคยติดต่อกัน
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มชาวหนานเจียงที่เกี่ยวข้องด้วย ท่านควรระวังตัวเองให้ดีนะขอรับ
หากเกิดอันตรายขึ้น ให้ท่านถอนตัวออกมาและกลับมาที่ดินแดนของเผ่า”
เม่ยหลิงมองอู๋ซินด้วยความเอ็นดู
“เจ้าค่ะ ข้าจะดูแลตัวเองให้ดี ท่านอาหลิงไม่ต้องกังวล
หากทำภารกิจไม่สำเร็จ ข้า... ข้าจะกลับมา” เม่ยหลิงได้ปิดค่ายกลลง
และใช้กำลังภายในดึงดาบกลับมาในมือ
“คุณหนู
ดูแลสุขภาพด้วยนะขอรับ” อู๋ซินมองเม่ยหลิงและพยักหน้ารับ
ก่อนจะหันหลังเดินไปยังทางน้ำแข็งที่ทอดยาว
เม่ยหลิงมองไปยังเงาร่างเล็กที่ค่อย
ๆ ไกลออกไป ในใจเต็มไปด้วยความกังวล “อู๋ซิน ภายในเผ่าตอนนี้มีเพียงผู้อาวุโส สตรี
และเด็ก ไม่สามารถช่วยเหลือเจ้าได้ ข้าเพียงหวังให้เจ้าปลอดภัยกลับมา”
เม่ยหลิงได้แต่ถอนหายใจอยู่เพียงลำพัง
เงาของอู๋ซินไกลออกไปเรื่อย
ๆ จนกลายเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ เท่านั้น เม่ยหลิงจึงหันกลับไป
และเปิดค่ายกลใหม่อีกครั้ง
ณ ตัวเมือง
นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้สัมผัสกับความตื่นตาตื่นใจของโลกภายนอก
ภายในใจของอู๋ซินรู้สึกใจหายเล็กน้อย ที่นี่คือเมืองชิงอวิ๋น
ซึ่งเป็นทางผ่านที่จะมุ่งไปสู่หุบเขาหิมะ
และเป็นสถานที่แรกที่อู๋ซินได้เห็นบ้านเรือนตั้งแต่ลงจากหุบเขามา
“ซาลาเปาขอรับ”
“ปิ่นปักผมอันนี้งดงามยิ่งนัก” “เถ้าแก่ ผ้าผืนนี้ขายอย่างไรหรือ” เสียงเหล่านี้แว่วดังเข้ามาในหู
อู๋ซินเดินไปมาในเมือง สุดท้ายไปหยุดอยู่ที่ด้านหน้าและตัดสินใจเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง
ชื่อว่าโรงเตี๊ยมฉางหลาย (มาโรงเตี๊ยมบ่อย ๆ นะ) นางคิดในใจว่าเถ้าแก่เนี๊ยะตั้งชื่อได้ดี
เป็นชื่อที่จำง่ายติดหู
“คุณหนูน้อย กินข้าวไหมเจ้าคะ”
เถ้าแก่เนี๊ยะถามเมื่อเห็นนางเดินเข้ามา “ข้าต้องการห้องพัก มีห้องว่างหรือไม่”
อู๋ซินเอ่ยตอบ
“มี
นี่หมายเลขห้องพักเจ้าค่ะ” เถ้าแก่เนี๊ยะพูดพร้อมยื่นแผ่นไม้จากเคาน์เตอร์ออกมา “ต้องขออภัยจริง
ๆ เจ้าค่ะคุณหนู วันนี้เป็นเทศกาลพิเศษ โรงเตี๊ยมของเราค่อนข้างยุ่ง
ข้าไม่สามารถปลีกตัวออกไปได้ รบกวนท่านเดินหาห้องเองนะเจ้าคะ”
“ไม่เป็นไร ท่านทำงานเถิด
ข้าเดินหาเองได้”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
เถ้าแก่เนี๊ยะพูด
อู๋ซินเดินขึ้นไปชั้นบน
เหลือบมองที่ป้ายไม้ 302 ชั้น 3 ในที่สุดก็เจอห้องพัก นางผลักประตูและเดินเข้าไป
อู๋ซินมองไปรอบ ๆ ห้อง สภาพห้องค่อนข้างดี กลางห้องมีโต๊ะกลมที่มีน้ำชาวางอยู่
และเตียงหนึ่งเตียง สภาพห้องค่อนข้างเป็นระเบียบและสะอาด สำหรับเมืองเล็ก ๆ ที่ห่างไกลความเจริญเช่นนี้
มีห้องพักแบบนี้ก็ไม่เลวแล้ว อู๋ซินรินน้ำดื่ม ปิดประตูและเอนกายลงบนเตียง
“ข้าควรทำอย่างไรจึงจะได้พบกับฮ่องเต้แห่งโม่หลิน
จะเข้าวังอย่างไรกัน” อู๋ซินครุ่นคิด ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปเถิด
พรุ่งนี้ต้องรีบเดินทางต่อ พักผ่อนก่อนดีกว่า อู๋ซินคิดในใจถึงตรงนี้ แล้วหลับตาลงนอน
วันต่อมา
อู๋ซินตื่นแต่เช้าตรู่
ล้างหน้าล้างตา หยิบสัมภาระเดินลงไปชั้นล่าง และนั่งลงบนโต๊ะ “เสี่ยวเอ้อร์ ข้าขอบะหมี่หนึ่งชาม”
เมื่อวานไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย รู้สึกว่าวันนี้ท้องมันจะประท้วงข้าเสียแล้ว
“ได้แล้วขอรับ นี่บะหมี่ของท่านขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์วางชามบะหมี่ลง “ขอบคุณ”
หลังจากกินเสบียงอาหารที่เตรียมมาเองหลายวัน
ตอนนี้ได้กินบะหมี่ร้อน ๆ ทำให้อู๋ซินถอนหายใจออกมาอย่าง
ภายในใจเกิดความรู้สึกดีใจ จึงกินหมดด้วยความรวดเร็ว และหยิบห่อเงินขึ้นมา
“เสี่ยวเอ้อร์ เก็บเงิน”
“ขอรับท่าน ห้องพักและบะหมี่รวมเป็นเงินหนึ่งตำลึงขอรับ”
อู๋ซินยื่นเงินให้หนึ่งตำลึง
แล้วเดินออกจากโรงเตี๊ยม
เมื่อเดินทางออกจากเมืองไปทางใต้
สองวันผ่านไป ในที่สุดก็ถึงเมืองอวิ๋นชี ชายแดนของโม่หลิน
อู๋ซินอ้าปากค้างเล็กน้อยเมื่อแหงนมองไปเห็นสองคำว่า
“อวิ๋นชี” ซึ่งติดอยู่ที่ประตู ก่อนจะเดินเข้าไปในตัวเมือง
ในตัวเมืองอวิ๋นชี
มีผู้คนมากมายบนถนน เมื่อเทียบกับเมืองชิงอวิ๋นแล้วดูเจริญรุ่งเรืองและคึกคักกว่าไม่น้อย
จิตใจของอู๋ซินรู้สึกตื่นตาตื่นใจ นางเดินเล่นไปมาในตัวเมือง
โดยไม่วุ่นกับการหาที่พักอีกต่อไป ไม่รู้ว่ามีที่ใดขายม้าบ้าง หากมีคงทำให้การเดินทางไวขึ้น
อู๋ซินคิดในใจ
“สาวน้อย
ซื้อปิ่นปักผมสักอันไหมเจ้าคะ” เสียงของหญิงชรานางหนึ่งจากร้านเล็ก ๆ เอ่ยเรียก
“ข้างั้นหรือ” อู๋ซินหันไปมองด้วยความฉงน
“ข้าเห็นว่าเจ้างดงามเหลือเกิน
แต่กลับไม่มีเครื่องประดับอยู่บนศีรษะ จึงลองถามดู แม้ว่าปิ่นปักผมของข้าจะเป็นปิ่นไม้
แต่ดูแล้วก็ไม่เลวเชียวนะ ฝีมือการแกะสลักของตาเฒ่าที่บ้านถือว่าใช้ได้ทีเดียว ราคาก็ถูกกว่าร้านเครื่องประดับทั่วไป”
หญิงชราอธิบาย
อู๋ซินเดินเข้าไปใกล้
ๆ ร้าน กวาดตามองเครื่องประดับและปิ่นปักผมต่าง ๆ ก่อนถาม “ท่านยาย
ท่านมีปิ่นที่สลักลายดอกลิลลี่แห่งหุบเขาหรือไม่” “ข้าเองก็ไม่รู้ เจ้าลองหาดูเถิด”
หญิงชราพูดและหยิบกล่องใส่ปิ่นปักผมจากใต้แผงขึ้นมา
“สาวน้อย ลองหาดูนะว่า มีปิ่นปักผมที่เจ้าบอกหรือไม่ ข้าเองก็ไม่รู้จักดอกลิลลี่แห่งหุบเขา
เจ้าลองหาดู” หญิงชราพูดพร้อมยื่นปิ่นปักผมให้ “เจ้าค่ะ” อู๋ซินกวาดตามองปิ่นปักผมที่สลักลายดอกไม้ต่าง
ๆ ก่อนจะหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา “อันนี้เท่าไรหรือท่านยาย”
“หาเจอแล้วงั้นหรือ”
“เจอแล้วเจ้าค่ะ”
อู๋ซินตอบ
“ดีแล้วที่เจอ
ดีแล้วที่เจอ” หญิงชราพูดด้วยความดีใจ
“ห้าสิบก้วน
เจ้าว่าอย่างไรสาวน้อย?” หญิงชราถาม
ในแผ่นดินจงเหิง 1 ตำลึงเงินเท่ากับ
100 ก้วน 1 ก้วนเท่ากับ 10 อีแปะ 50 ก้วนเท่ากับ 500 อีแปะ
“ท่านยาย
ไม่ต้องทอนเจ้าค่ะ” อู๋ซินหยิบเงินหนึ่งตำลึงออกจากกระเป๋ายื่นให้หญิงชรา พูดจบนางก็เตรียมจะเดินทางต่อ
“นี่... รอเดี๋ยวก่อนสาวน้อย”
อู๋ซินชะงักฝีเท้าที่กำลังก้าวออกไป “ท่านยาย มีอะไรหรือเจ้าคะ”
อู๋ซินถามด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์
“ในเมืองนี้มักจะมีการจับตัวสตรีงามไป
แม้เจ้าจะยังเด็ก แต่เพื่อความปลอดภัย เจ้าจงกลับบ้านไปจะดีกว่า
หากไม่มีเรื่องอะไรจงอย่าออกมาเลย” หญิงชราพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“เจ้าเมืองไม่เข้ามาจัดการเรื่องนี้เลยงั้นหรือ?”
อู๋ซินถามด้วยความสงสัย
“เรื่องนี้เจ้าเมืองเองก็ไม่สามารถเข้ามาจัดการได้
ได้ยินมาว่าพวกเขาจับไปเพื่อให้ฮ่องเต้เลือกเป็นนางสนม ผู้รับผิดชอบได้ตามหาสตรีที่เหมาะสมจากขุนนางในเมืองหลวง
หากอายุยังไม่ถึงจะถูกนำไปอบรม เมื่ออายุถึงเกณฑ์แล้วจึงส่งเข้าวัง”
หญิงชราพูดด้วยเสียงที่เบาลง
ความคิดของอู๋ซินเริ่มมีความลังเล
“เหตุใดท่านจึงรู้”
“อ้อ
ตาเฒ่าที่บ้านเป็นคนบอกข้าไม่ให้ออกมาขาย เพราะไม่ค่อยมีหญิงสาวออกมาเดินมากนักหรอก
ข้าถามเหตุผล เขาจึงบอกเช่นนี้” หญิงชราอธิบาย
“ข้าเข้าใจแล้ว
ขอบคุณเจ้าค่ะ” อู๋ซินขอบคุณหญิงชรา
“อย่าเลย อย่าขอบคุณเลย”
หญิงชรายิ้มอย่างเขินอาย “สาวน้อยแบกห่อของเช่นนั้น เจ้าเดินทางมาหาญาติงั้นหรือ เช่นนั้นต้องรีบหน่อยนะ
อีกสักพักคงมีคนมาแล้ว”
“ข้าจะมาอาศัยอยู่กับญาติ
ขอบคุณเจ้าค่ะท่านยาย ข้าขอตัวก่อน”
“ไปเถอะ”
อู๋ซินหาโรงเตี๊ยมเพื่อเปิดห้องพัก
และหยิบชุดเสื้อผ้าชายที่ผู้อาวุโสหลิงมอบให้ออกมาจากกระเป๋า ผู้อาวุโสบอกไว้ว่าหากอยู่ภายนอก
บางครั้งการแต่งกายเป็นผู้ชายนั้นจะปลอดภัยกว่า
อู๋ซินสวมเสื้อผ้าผู้ชาย
พร้อมแต่งแต้มสีดำลงบนใบหน้า ในไม่ช้าก็กลายเป็นเพียงเด็กชายตัวเล็กท่ามกลางฝูงชน
และเดินออกจากโรงเตี๊ยม
เมื่อมาถึงถนนเส้นใหญ่
ก็พบสตรีงามจำนวนมากถูกเจ้าเมืองพาตัวไป ในขณะที่เดินผ่านตัวอู๋ซินไปก็พบว่านางเอาแต่จ้องมอง
พลทหารในชุดพลเรือนจึงตะโกนใส่ว่า “เจ้าเด็กน้อย มองอะไรของเจ้ากัน
ยังไม่ทันหย่านมก็คิดจะมองสาวแล้วงั้นหรือ” คนอื่น ๆ ต่างก็หัวเราะเยาะ อู๋ซินก้มลงด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยประกายของความรู้สึกไม่พอใจอย่างรุนแรง
เมื่อเห็นว่ากองทัพเดินไกลออกไป
อู๋ซินจึงหันกลับไปที่โรงเตี๊ยม เข้าห้องพัก ทอดกายลงบนเก้าอี้พร้อมเอามือก่ายหน้าผาก
“ข้าจะเข้าไปอยู่ในกลุ่มสตรีเหล่านั้นได้อย่างไรกัน”
อู๋ซินครุ่นคิด นางไม่สูงพอ และร่างยังเล็ก คงเป็นไปไม่ได้ที่จะถูกคัดเลือกเข้าไป
หากถูกเลือกคงเป็นได้เพียงแค่นางสนมฝึกหัด ข้าควรทำอย่างไรให้เป็นที่สนใจ
ในคืนนั้น
อู๋ซินเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดดำ และมุ่งหน้าไปยังจวนเจ้าเมือง เมื่อถึงที่หมาย
นางได้ข้ามกำแพงเข้าไป พบว่ามีข้ารับใช้ลาดตระเวนอยู่
นางจึงพุ่งตัวไปซ่อนอยู่หลังโขดหิน
เมื่อข้ารับใช้เดินผ่านไป
อู๋ซินจึงออกค้นหาสถานที่ที่สตรีงามพำนักอยู่ ในที่สุดก็พบห้องโถงที่สว่างอยู่ทางตะวันออกซึ่งขังสตรีงามเอาไว้
โดยข้าง ๆ เป็นสถานที่ที่จัดเตรียมไว้เพื่อสตรีงามฝึกหัด
อู๋ซินเดินเข้าไปแนบชิดกำแพง
และเจาะหน้าต่างให้เป็นรูเพื่อมองเข้าไปด้านใน “ท่านพี่หลิงเอ๋อร์ ข้าอยากกลับบ้าน
ข้าคิดถึงท่านแม่” เด็กสาวหน้าตาน่ารักในวัยประมาณเจ็ดขวบพูดกับเด็กสาวงามอีกคนที่โตกว่าเล็กน้อยพร้อมร่ำไห้
เด็กในวัยประมาณสิบขวบคนนั้นโอบไหล่ของนาง และปลอบอย่างอ่อนโยนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศก
อู๋ซินสำรวจรอบ ๆ พบว่าข้างในมีเด็กสาวเพียงเจ็ดแปดคนเท่านั้น
อู๋ซินค่อย ๆ ใช้พลังจิตกับเด็กสาวชุดเหลืองที่อยู่ใกล้หน้าต่างเพื่ออ่านใจของนาง
“ทำอย่างไรดี
ข้าควรจะทำอย่างไร ท่านแม่จะกำลังตามหาข้าอยู่หรือไม่
เหตุใดข้าจึงต้องวิ่งหนีนางออกมาด้วยความโกรธกันะ ฮืออออ” นางผู้นี้แหละ
อู๋ซินตัดสินใจปล่อยพลังจิตให้ปกคลุมไปทั่วห้อง
ไม่มีคอมเม้น