ตอนที่
4
เมืองหลวง
สาวใช้พาเหล่าสตรีงามขึ้นไปยังชั้นสอง
“ห้องหนึ่งพักได้สองคน พวกท่านสามารถจัดแบ่งกันเองได้เลย ข้าน้อยขอตัวเจ้าค่ะ”
พูดจบสาวใช้ก็เดินลงไป
เทียนหลิงและเซียงเอ๋อร์ผลักประตูห้องห้องหนึ่งก่อนจะเดินเข้าไป
สตรีงามนางอื่นต่างก็จับคู่เลือกห้องของตนเอง
เซียงเอ๋อร์ปิดประตูลงก่อนจะเดินมาข้างโต๊ะ
“ข้าขอโทษนะเทียนหลิง ที่ทำให้เจ้าเดือดร้อนไปด้วย”
เซียงเอ๋อร์พูดด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิด “เจ้าพูดเรื่องบ้าอะไรกัน”
เทียนหลิงลุกขึ้นและดึงมือของเซียงเอ๋อร์ให้นั่งลง “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า
ข้าตามมาเองแล้วจะโทษเจ้าได้อย่างไร
แต่จงจำเอาไว้ว่าเราจะเป็นเพื่อนรักกันตลอดไปก็พอ มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน
นอกจากนี้ หากในอนาคตข้ามีเรื่องปิดบังหรือหลอกลวงเจ้า แต่จงเชื่อว่าข้าไม่มีทางจะทำร้ายเจ้า
และหากวันหนึ่งเจ้ามีเรื่องที่ไม่สะดวกใจจะบอก
ข้าเองก็จะเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางทำร้ายข้าเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้หากคนที่ถูกจับเป็นข้า เจ้าจะนิ่งเฉยอยู่งั้นหรือ”
เทียนหลิงพูดพร้อมกับจ้องไปที่ดวงตาของเซียงเอ๋อร์ “ไม่มีทาง” เซียงเอ๋อร์โต้กลับ
“งั้นตกลงกันว่า เราจะเป็นเพื่อนรักที่จะไม่มีวันทรยศกันไปตลอดชีวิต”
เซียงเอ๋อร์พูดด้วยสายตาที่จริงใจ เทียนหลิงมองไปยังใบหน้าที่จริงใจก่อนจะพยักหน้า
“อื้อ” ทั้งสองต่างก็มองหน้ากันและยิ้มออกมา ชะตาของทั้งสองได้เกี่ยวโยงกัน
และมิตรภาพได้ก่อตัวขึ้นอย่างเป็นทางการ
“จริงสิ
สาวใช้เหล่านั้นปฏิบัติต่อเราอย่างสุภาพ
งั้นแสดงว่าคนของขุนนางก็มิได้หยิ่งยโสไปเสียหมดงั้นหรือ”
เทียนหลิงถามอย่างสงสัย
“เจ้าไม่รู้หรือว่าในนี้มีสตรีสูงศักดิ์ที่ถูกวางตัวให้เป็นนางสนมเอกในวัง
เมื่อครู่นี้สาวใช้พูดกับสาวงามนางนั้น ซึ่งเป็นบุตรสาวของพ่อค้าที่ร่ำรวยที่สุดของเมืองอวิ๋นชี
นางเป็นคนใจบุญ มีชื่อเสียง เป็นที่นิยมในหมู่ชาวบ้าน
และนางยอมละทิ้งศักดิ์ศรีมาแจกอาหารให้กับคนเร่ร่อน”
“แล้วเจ้าเชื่อว่านางเป็นคนดีหรือไม่”
เทียนหลิงถามขึ้นอีกครั้ง
“ข้าเองก็ไม่รู้อะไรมาก
ได้แค่เพียงฟังที่คนพูดกัน
แต่ข้ารู้สึกว่านางดูเป็นคนดีเกินไปราวกับไม่ใช่เรื่องจริง”
“ต่อไปต้องอยู่ให้ห่างจากนาง
ไม่ว่านางจะเป็นคนดีหรือไม่ คนประเภทนี้ หากไม่เป็นคนดีจริง ๆ ก็มีแผนการร้าย”
“ได้ ข้าจะจำไว้”
เซียงเอ๋อร์ตอบอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
“เอาล่ะ! เรานอนเอาแรงกันเถอะ
พรุ่งนี้อาจต้องรีบเดินทางต่อ หากไม่พักผ่อนให้พอ อาจจะทำให้ทนไม่ไหวในระหว่างทางได้นะ”
“อื้อ”
ทั้งสองทอดกายลงบนเตียงและผล็อยหลับไป
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เพียงพริบตาก็ถึงวันต่อมาแล้ว
ทันทีที่เซียงเอ๋อร์กับเทียนหลิงล้างหน้าล้างตาเสร็จก็เดินลงไปชั้นล่างพร้อมกับสตรีงามนางอื่นเพื่อทานอาหารที่เตรียมไว้บนโต๊ะ
เมื่อทานเสร็จ ขบวนก็พร้อมออกเดินทาง สาวงามทยอยขึ้นรถม้าตามลำดับ
และเสียงเกวียนก็ดังขึ้นอีกครั้ง
สามวันต่อมา
เมื่อมองไปยังประตูเมืองที่อยู่ด้านหน้า
ผู้นำกองกำลังจึงหยุดลง ก่อนรถม้าจะหยุดตาม “มีอะไรงั้นหรือ”
เสียงของหยวนจ้งเจี๋ยจากรถม้าคันแรกดังขึ้น นับตั้งแต่ออกเดินทางจากเมืองซินเหอ
หยวนจ้งเจี๋ยก็ไม่ได้รู้สึกอยากขี่ม้าอีกต่อไป
จึงขึ้นนั่งรถม้าแสนหรูหราที่ซื้อมาแทน
“เรามาถึงเมืองจิ่นโจวแล้วขอรับ”
ผู้คุมม้าตอบ
“ดี
เราจะเข้าไปพักในเมืองหนึ่งวัน พรุ่งนี้ออกเดินทางต่อ
วันมะรืนก็คงจะถึงเมืองหลวงแล้ว” หยวนจ้งเจี๋ยกล่าวด้วยความฮึกเหิม
“ขอรับ”
คำสั่ง : จงลงจากม้าและเข้าไปในเมือง
“ขอรับ”
ทหารม้าที่อยู่ด้านหน้าสามนายตอบอย่างพร้อมเพรียง ทั้งสามลงจากหลังม้าก่อนจะจูงเข้าไปในเมือง
รถม้าเองก็ค่อยๆ ตามหลังเข้าไป
ในรถม้า
เมื่อได้ยินเสียงจากภายนอก
เทียนหลิงรู้สึกดีใจเล็กน้อยที่ใกล้ถึงเมืองหลวงขึ้นทุกทีแล้ว
อีกไม่นานก็สามารถดำเนินแผนขั้นต่อไปได้ เมื่อคิดเช่นนี้
ริมฝีปากของนางก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
ในตัวเมืองค่อนข้างคึกคัก
ทัพของหยวนจ้งเจี๋ยได้รับความสนใจไม่น้อยจากชาวเมือง
“เรามาถึงโรงเตี๊ยมฝูหลายแล้วขอรับ”
เสียงของผู้ดูแลเฉียนหย่งดังขึ้นจากนอกรถม้า หยวนจ้งเจี๋ยที่นอนพักอยู่ในรถม้าเอ่ยตอบขณะที่หลับตา
“ข้ารู้แล้ว เจ้าเข้าไปจัดการให้เรียบร้อย”
โรงเตี๊ยมหลายฝูมีสาขาอยู่ในหลายเมือง
โดยมีชื่อเสียงเรื่องสภาพแวดล้อมทีเงียบสงบ และการตกแต่งที่เรียบง่ายสง่างาม
จึงเป็นที่นิยมของผู้เข้าพัก
หลังจากเตรียมการทุกอย่างเรียบร้อย
เฉียนหย่งจึงมายังรถม้าเพื่อรายงาน “สตรีงามทั้งหมดเข้าไปยังโรงเตี๊ยมแล้วขอรับ
รถม้าและม้าเองก็จัดการเรียบร้อยแล้ว
ท่านสามารถเข้าไปพักในห้องที่เตรียมไว้ได้แล้วขอรับ” เฉียนหย่งกล่าว
ในรถม้า
หยวนจ้งเจี๋ยลืมตาขึ้นก่อนจะเปิดม่านบนรถม้าออก
เฉียนหย่งยื่นมือออกไปรับอย่างรวดเร็ว
หยวนจ้งเจี๋ยจับมือของเฉียนหย่งเพื่อลงจากรถม้า ก่อนจะเข้าไปยังโรงเตี๊ยม
เพราะกังวลว่าหากคลาดสายตาไปสักระยะ
สตรีงามทั้งหลายจะหนีไป จึงให้พวกนางอยู่แต่ในห้องพัก
เนื่องจากจิ่นโจวเป็นเมืองที่อยู่ติดกับเมืองหลวง
จึงมีคนสัญจรไปมาค่อนข้างเยอะและหนาแน่น หากหนีไปจะทำให้หาตัวจับได้ยาก
จึงห้ามมิให้สาวงามทั้งหลายลงมารับประทานอาหารที่ห้องโถง
แต่จะให้สาวใช้นำอาหารไปให้ที่ห้องพัก
ในขณะที่เซียงเอ๋อร์กับเทียนหลิงกำลังรับประทานอาหารในห้องหมายเลข
201 เมื่อเห็นว่าเทียนหลิงรับประทานอย่างสงบ
ใบหน้าปราศจากร่องรอยของความกลัดกลุ้มใด ๆ เซียงเอ๋อร์จึงถามด้วยความสงสัย
“เทียนหลิง เรากำลังจะได้เข้าเมืองหลวงแล้ว เจ้า... ไม่กังวลเลยงั้นหรือ”
“เรามาถึงแล้ว
ตอนนี้หากกลัดกลุ้มใจไปก็ไม่มีประโยชน์
ข้าแค่กำลังคิดว่าเราควรจะทำอย่างไรเมื่อไปถึงเมืองหลวง
และจะหนีออกมาจากพวกนั้นได้อย่างไร” เทียนหลิงมองไปที่นาง
ก่อนจะหยุดทานและตอบด้วยเสียงเบาๆ
“เจ้าคิดแผนออกแล้วงั้นหรือ”
“คิดออกแล้ว”
“แผนคืออะไร” เซียงเอ๋อร์ปรี่เข้ามาถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เทียนหลิงมองไปที่ดวงตาของเซียงเอ๋อร์
ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ลึกลับภายใต้แววตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของนาง
“ไม่บอกหรอก ถึงเวลาเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง”
ใบหน้าของเซียงเอ๋อร์ไม่พอใจทันที
นางเบ้ปากขึ้น และมองเทียนหลิงด้วยแววตาที่คับแค้นใจ
ทำให้เทียนหลิงหัวเราะออกมาเบา
ๆ “เอาล่ะ ๆ ข้าไม่แกล้งเจ้าแล้ว กินข้าวเถิด ข้ามีแผนแล้ว
ตอนนี้เจ้าวางใจและรอให้ถึงวันนั้นก็พอ”
“ก็ได้”
เซียงเอ๋อร์ตอบอย่างหมดความหวัง
หลังจากนั้น ทั้งสองก็กินข้าวจนอิ่มภายใต้ความเงียบงัน
เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ
เนื่องจากไม่สามารถออกไปไหนได้ เทียนหลิงกับเซียงเอ๋อร์จึงกินมื้อเย็น และทอดกายลงบนเตียงพร้อมพูดคุยกัน
“เทียนหลิง
ข้าเริ่มคิดถึงท่านแม่แล้ว เจ้าว่าหากท่านแม่หาข้าไม่เจอ
ท่านจะร้องไห้อย่างลนลานหรือไม่” เซียงเอ๋อร์พูดเบา ๆ พลางแหงนมองไปยังเพดาน
“เซียงเอ๋อร์
ตอนที่ตามหาเจ้า ข้าได้ไปที่จวนเจ้าเมือง เขากล่าวว่าจะแจ้งข่าวให้กับครอบครัวของสาวที่ถูกคัดเลือกทราบ
เจ้าเมืองจะมีค่าตอบแทนให้ ตอนนี้เจ้าดูแลตัวเองให้ดีก็พอ
หากมีโอกาสเจ้าค่อยกลับไป มีครอบครัวของสตรีงามเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ยังไม่รู้
ครอบครัวอื่นรู้หมดแล้วว่าถูกคัดเลือกไป” เทียนหลิงจับมือของนางใต้ผ้าห่มก่อนจะพูดออกมาเบา
ๆ
“นอกจากนี้ องค์ชายจะมาเข้าร่วมในการคัดเลือกครั้งนี้ด้วย”
เทียนหลิงพูดต่อ
“งั้นเราจะหนีกันก่อนจะมีการคัดเลือกนางสนมใช่หรือไม่”
“ใช่ หากถูกเลือก
ไม่ว่าจะเป็นอนุภรรยาหรือพระชายาของฮ่องเต้ก็ตาม จะมีคนดูแลเฉพาะทาง คอยสอนศิลปะ 4
แขนง ซึ่งก็คือกู่ฉิน หมากล้อม การเขียนอักษรจีน และการวาดภาพพู่กันจีนให้
เพื่อเตรียมเข้าไปเป็นอนุภรรยาในวัง”
นี่คือสิ่งที่เทียนหลิงรู้จากการควบคุมจิตใจของคุณหนูที่เซียงเอ๋อร์ได้เล่าถึง
เพื่อความปลอดภัย เทียนหลิงจึงได้ใช้วิชาเพื่ออ่านใจของนางตอนอยู่บนรถม้า
นางได้มีแผนการเบื้องหลังอยู่ตามที่คาดไว้
ทุกอย่างก็เพื่อจะได้เป็นพระชายาของโม่ลี่เซวียนซึ่งเป็นองค์ชายสอง
“ขอเป็นภรรยาผู้ยากจน
ดีกว่าต้องไปเป็นอนุภรรยาผู้สูงศักดิ์” นี่คือสิ่งที่ท่านแม่สอนข้ามาโดยตลอด
นางมักจะบอกว่า ไม่ต้องมั่งคั่งร่ำรวย จงเป็นคนธรรมดาที่มีค่า
อย่าเก็บเรื่องที่แย่มาไว้ในใจ เซียงเอ๋อร์ถอนหายใจออกมา
“เพราะฉะนั้น พวกเราไม่ใช่แค่ต้องหนีออกไป
ภายใต้สภาวะที่ยังกลับไปหาครอบครัวไม่ได้ เราจะต้องมีชีวิตที่ดี นอนเถอะ
มีข้าอยู่ทั้งคนไม่ต้องคิดมาก”
“อืม”
เซียงเอ๋อร์มองไปยังเทียนหลิงก่อนจะพยักหน้าและยิ้ม
ในขณะที่เทียนหลิงหลับตาลง
เซียงเอ๋อร์ได้จ้องมองไปยังใบหน้าของนาง และพูดในใจว่า ‘ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อมีเจ้าอยู่ข้างกาย
ข้ากลับไม่รู้สึกกลัวอีกต่อไป’
หลังจากนั้นก็หันกลับไปและหลับตาลง
ค่ำคืนยังอีกยาวนาน
ทั้งสองหลับใหลอย่างสบาย คนหนึ่งเป็นเพราะรอคอยเป้าหมายที่ใกล้เข้ามา
ส่วนอีกคนเป็นเพราะมีคนคอยปกป้อง จึงไม่ต้องกลัวอีกต่อไป
หลังมื้อเช้าของวันถัดมา
รถม้าของเหล่าสตรีงามได้มุ่งสู่เมืองหลวง ในระหว่างทาง บ้างก็ดีใจบ้างก็กลุ้มใจ
ยามพลบค่ำ
กองทัพได้มาถึงเมืองหลวงแล้ว
หยวนจ้งเจี๋ยหยิบตราราชโองการออกมาให้กับองครักษ์ประตูเมืองตรวจสอบ “เชิญใต้เท้าขอรับ”
องครักษ์คารวะหลังจากตรวจสอบและปล่อยให้เข้าเมือง
รถม้าแล่นไปตามทางจนมาถึงหน้าหอสตรีงาม
หอสตรีงามถูกสร้างขึ้นโดยผ่านจากการที่ขุนนางของราชสำนักในสมัยฮ่องเต้โม่หลินเสนอขอความเห็นชอบจากฮ่องเต้เพื่อใช้คัดเลือกสตรีงาม
ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากประตูฝั่งตะวันออกของพระราชวัง
ใช้เดินจากประตูพระราชวังเป็นเวลาเพียงหนึ่งเค่อ[1]เท่านั้น
“ถึงแล้ว สาวงามทุกนางลงจากรถม้าได้”
ผู้ดูแลเฉียนหย่งเรียก ในเวลาเดียวกัน ที่หน้าหอก็มีสตรีงามราวหลายสิบนางยืนอยู่
ก่อนจะมีหญิงวัยกลางคนสวมชุดนางข้าหลวงในร่างที่ผอมบางเดินออกมาจากหอสตรีงาม
“ใต้เท้าหยวน
ใต้เท้าเว่ย” หญิงวัยกลางคนคารวะ ทั้งสองคารวะกลับ : ผู้ดูแลเหวิน
นางข้าหลวงชั้น 5
เหวินชิงเป็นผู้ดูแลหอสตรีงาม รับผิดชอบจัดการทุกเรื่อง และอบรมสตรีในหอสตรีงาม
“ใต้เท้าทั้งสองเดินทางมาลำบากมากสินะเจ้าคะ”
เหวินชิงพูดอย่างสุภาพ
“ที่ไหนกัน
ไม่ลำบากเลย ผู้ดูแลเหวินสิลำบาก”
เหวินชิงหัวเราะออกมาเบา
ๆ ก่อนจะจัดการพาสตรีงามเข้าไปในหอ
หยวนจ้งเจี๋ยและเว่ยเสียจิ้งรอให้นางตรวจบันทึกจำนวน
และพาเหล่าสตรีงามเข้าไปในหอทั้งหมดเสร็จสิ้นจึงออกมา
แบบนี้หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นภายหลังก็จะไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาอีกต่อไป
เหวินชิงมองดูแผ่นหลังของพวกเขาที่เดินจากไป
ก่อนจะหันกลับเข้าหอสตรีงาม
เหล่าสตรีงามที่มาใหม่จากเมืองอวิ๋นชีและเมืองอื่น
ๆ ที่มาถึงก่อนหน้าได้ยืนเรียงรายในห้องโถงใหญ่เพื่อฟังการอบรม
เหวินชิงเดินไปยังบนบันได
ก่อนจะมองไปยังกลุ่มคนด้านล่าง “นับเป็นโชคชะตาของพวกเจ้าที่ได้มายังหอสตรีงามแห่งนี้
ห้ามทำอะไรตามใจชอบ เรื่องใดควรทำ เรื่องใดไม่ควร พวกเจ้าน่าจะต้องรู้อยู่แก่ใจ
หวังว่าพวกเจ้าจะตั้งใจเรียนรู้มารยาท และมุ่งมั่นที่จะแสดงสิ่งที่ตระการตาในการคัดเลือกนางสนม
ข้ารู้ว่าพวกเจ้ากำลังคิดเช่นไร การชนะใจเหล่าองค์ชายก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกเจ้าเอง”
กล่าวเสร็จเหวินชิงก็หันไปถามผู้จดบันทึกข้างๆ “เตรียมหอแดงแล้วหรือไม่ หอแดงเป็นห้องที่เอาไว้ให้สตรีงามพัก”
เสียงเอ่ยตอบกลับ “เตรียมแล้วเจ้าค่ะ เพียงแต่ครั้งนี้มีสตรีงามอีกสามสิบกว่านาง
ที่พวกนางจะยังไม่มีห้องเจ้าค่ะ” สาวใช้ในวัยสิบกว่าขวบตอบ
“จัดการห้องใต้หลังคาในส่วนกลางบริเวณหลังหอ
ให้พวกนางพักด้วยกัน” เหวินชิงออกคำสั่ง
“เจ้าค่ะ”
“หลังจากนี้
พวกเจ้าจงหาห้องพักของตนเองตามอัธยาศัย สามารถออกไปภายนอกได้
แต่ต้องกลับเข้ามาตามเวลา หากไม่กลับมา สหายของพวกเจ้าจะถูกเกี่ยวโยงไปด้วย
เพราะฉะนั้น จงนึกถึงผลที่ตามมาให้ดี แยกย้ายได้!”
ไม่มีคอมเม้น