Aa
Aa
Aa

บทที่ 1

เกิดใหม่ (1)

 

บนท้องฟ้าสูงลิ่วหลายพันไมล์ซึ่งถูกปกคลุมด้วยเมฆดำครึ้มพร้อมด้วยเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าดังสนั่นทั่วทั้งเมือง พายุฝนโหมกระหน่ำลงมาที่โรงพยาบาลใจกลางเมืองซึ่งมีห้องผู้ป่วยหนักกำลังรับการรักษา เครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจตรวจจับสัญญาณของชีวิตที่ใกล้จะดับลงทุกขณะและส่งสัญญาณเตือนรุนแรง

 

ตี๊…ตี๊ตี๊

 

 เปรียบได้กับเสียงเตือนก่อนที่ความตายจะมาเยือน หมอเฮ่อซึ่งดูแลผู้ป่วยอยู่ข้างเตียงผุดลุกผุดนั่งด้วยความเป็นกังวล สีหน้าเต็มไปด้วยความตึงเครียด

 

“เร็วเข้า! ส่งเครื่องกระตุ้นหัวใจมา!”

 

 พอสิ้นคำ หมอเฮ่อก็หันไปรับเครื่องกระตุ้นหัวใจจากพยาบาล หัวใจได้รับการกระตุ้นติดต่อกันสามครั้งเพื่อช่วยชีวิตเป่ยกัว หญิงสาวที่หลับใหลไร้ซึ่งเรี่ยวแรงอยู่บนเตียง แข่งกับเวลาความเป็นความตาย…

 

...เผิง เผิง เผิง

 

 การสั่นสะเทือนรุนแรงถึงสามครั้งทำให้กระแสไฟฟ้าแทรกซึมเข้าไปในกล้ามเนื้อและเส้นเลือดทั่วร่างกาย ราวกับเป่ยกัวได้กลับสู่แสงสว่างอีกครั้ง นางลืมตาขึ้นช้าๆ

 

“เป่ยกัว! ฟื้นแล้ว!”

 

เมื่อได้ยินเสียง เป่ยกัวก็กวาดสายตามองไปรอบห้อง ทุกสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาล้วนเป็นสีขาวโพลน ผนังสีขาว ผ้าปูที่นอนสีขาว และบุคคลชุดขาวสองคนยืนอยู่ที่ข้างเตียง

 

สายตาของนางเหลือบมองสายรัดข้อมือผู้ป่วยที่ประทับบนข้อมือตัวเอง รอยยิ้มบิดเบี้ยวปรากฏขึ้นที่มุมปาก ชีวิตขมขื่นอันแสนสั้นของนางก็ผุดวาบขึ้นมาในใจ

 

นอกจากโศกนาฏกรรมอันน่าสลดนี้ ในชีวิตของนางยังเคยผ่านความตายมาแล้วถึงสองครั้งสองครา ครั้งแรกคืออุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่ออายุสิบสองปี การแคล้วคลาดจากโศกนาฏกรรมในครั้งนั้นทำให้นางคิดว่านั่นคือพรที่พระเจ้าเมตตานางอย่างสูงสุด

 

แต่ใครจะคาดคิดว่าวันนี้จะถูกพระเจ้าเกลียดชังอีกครั้ง หลังจากเรียนจบ ยังไม่ทันเริ่มใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป อาการป่วยหนักก็ฉุดรั้งชีวิตของนางไว้อย่างน่าเศร้าสลด

 

แม้ไม่ได้ยินดี แต่ใครบ้างเล่าที่สามารถหลีกหนีความตายได้ เป่ยกัวทำได้เพียงแต่ปล่อยวิญญาณให้ความตายกลืนกิน แต่ในลมหายใจสุดท้ายของนางก็เกิดเสียงฟ้าร้องดังสนั่นขึ้นมาราวกับพระเจ้าจงใจ

 

แสงสว่างวาบทำให้เป่ยกัวตกตะลึงไปทั้งร่าง ดวงตาที่แสนจะเลือนรางของนางจดจ้องในห้วงนิทรา นางปรากฏเห็นตนเองประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อตอนอายุสิบสองปีในโลกอีกใบหนึ่ง

 

ค่ำคืนนั้นเหมือนพระจันทร์เป็นสีเลือด เมืองจักรพรรดิสูงตระหง่านเต็มไปด้วยหมอกควันคละคลุ้งเนื่องจากถูกไฟโหมกระหน่ำกลืนกินวอดวาย

 

ใต้ประตูเมืองพังทลาย หญิงสาวที่มีผมสีดำพลิ้วไหวเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้วยแววตามุ่งมั่นทว่าแฝงไปด้วยความเศร้าสลด แขนและไหล่ของนางเคล็ด นิ้วมือทั้งห้าถูกกางออกด้วยดาบอาบโลหิตสีแดงเข้มซึ่งแทงทะลุลงไปกับพื้นดิน

 

ราวกับว่าหญิงสาวจะสัมผัสได้ถึงลมหายใจของเป่ยกัว นางค่อยๆ หันกายมามอง คิ้วนั้น ตานั้น และเลือดที่ไหลออกจากมุมปากล้วนไปกระตุ้นสมองของเป่ยกัวให้ขาดออกซิเจน

 

 เป่ยกัวจ้องไปยังหญิงสาวที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนตนทุกประการราวกับฝาแฝด นางก้าวถอยหลังไม่รู้ตัวก่อนจะพลัดตกลงไปในแอ่งเลือด โลหิตสีแดงสดสาดกระเซ็นเปื้อนแก้ม เมื่อเป่ยกัวเงยหน้าขึ้นก็เผชิญกับดวงตาแดงก่ำของหญิงสาวตรงหน้า นางตกใจอย่างห้ามไม่อยู่

 

“เป่ยกัว!”

 

“...”

 

“หากโชคชะตาซ้ำรอยอีกครา เจ้าจะเลือกสิ่งใด”

 

“ฉะ...ฉัน”

 

“โปรดบอกข้าที! เจ้าจะเลือกสิ่งใด!”

 

ทั้งคู่ประจันหน้ากัน หญิงสาวจ้องไปยังเป่ยกัวราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ นัยน์ตาคู่นั้นมืดมนดุจสายน้ำลึกและเต็มไปด้วยความสิ้นหวังต่อต้าน เปรียบเสมือนดาบอันแหลมคมที่แทงทะลุเข้าไปในหัวใจของเป่ยกัว นางเจ็บปวดจนแทบกระอักเลือดออกมา

 

เป่ยกัวยังคงตกอยู่ในภวังค์ความฉงน พายุฝนฟ้าคะนองได้ทำลายบรรกาศที่คุกรุ่นระหว่างทั้งคู่ การกลับชาติมาเกิดเป็นเวรเป็นกรรม หญิงสาวฟุบลงกับพื้น

 

ในชั่วพริบตาที่โลกหมุนไปรอบๆ ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างล่องลอยไปบนฟ้า ความเจ็บปวดได้กลืนกินความตื่นตัวครั้งสุดท้ายของเป่ยกัวก่อนที่นางจะหลับใหลไป

Comment

  • ไม่มีคอมเม้น