Aa
Aa
Aa

ตอนที่ 4

 

“เข้างานกันได้แล้ว”ชายชราผมเงินบอกพวกไป๋ฉีและเหม่ยเฟิ่งในไม่ช้าพวกเขาก็เดินเข้าไปในโถงหิมะโปรยเพื่อร่วมงานฉลอง

ในห้องโถงหิมะโปรยนะที่ตกแต่งด้วยเครื่องประดับนานาชนิด ในไม่ช้าพวกเขาก็เข้าไปนั่งโต๊ะแถวหน้าสุดชายชราผมเงินที่อุ้มไป๋ซิงนั่งลงเป็นคนแรกจากนั้นก็ตามมาด้วยพวกไป๋ฉี

“ท่านปู่เด็กคนนี้ต้องเป็นผู้สืบทอดของตระกูลไป๋”ไป๋ฉีกล่าวกับชายชราข่มขืนด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

“ไป๋ฉีเจ้าก็รู้ว่าเด็กคนนี้มีสภาพร่างกายเป็นยังไง” ชายชราผมเงินกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

“ข้าจะพยายามทำทุกอย่าง”ไป๋ฉี

ที่นั่งไม่ไกลจากพวกเขาเท่าไหร่นั้นไป๋หลี่ก็ได้ยินบทสนทนาของพวกเขา เขาจะไม่ได้สนใจมันเท่าไหร่แต่เขาจะทำให้แน่ใจมาให้เกิดความผิดพลาดขึ้นมาได้อีก

ไป๋หลี่พึมพําอะไรสักอย่างกับชายที่อยู่ข้างๆ

 “ไป๋ฉีอัจฉริยะของตระกูลกลับมีลูกชายที่มีความสามารถธรรมดา”

งานเลี้ยงฉลองที่อยู่ในห้องหยุดลงชั่วพริบตา

ไป๋ฉีจ้องมองชายที่อยู่ข้างๆไป๋หลี่ แรงกดดันของเขาพุ่งพรวดออกมากดดันใส่ชายคนนั้น

“อึ”

ไป๋หลี่ปล่อยแรงกดดันออกมาต้านทานแรงกดดันของไป๋ฉีบรรยากาศภายในห้องโถงนั้นเต็มไปด้วยความอึดอัด

“พอ” ไป๋หยงห้ามปรามทั้งสองคน หลังจากนั้นบรรยากาศภายในห้องโถงก็ปลอดโปร่งอีกครั้งหนึ่ง

“ไป๋ซิงไม่เหมาะที่จะเป็นผู้สืบทอดตระกูลไป๋”ชายที่อยู่ฝั่งของไป๋หลี่พูดขึ้นมา

“พวกเจ้าอย่าเพิ่งพูดอะไรพล่อยๆนายน้อยมีสิทธิ์เป็นผู้สืบทอดตระกูลไป๋”ได้มีชายคนหนึ่งที่อยู่ฝั่งไป๋ฉีกล่าวขึ้นมา บรรยากาศภายในห้องโถงตอนนี้จะแบ่งกันเป็นสองฝ่ายได้อย่างชัดเจน

ผู้คนทั้งสองฝ่ายต่างถกเถียงกันไปมา

 

“ข้อจะให้ไป๋ซิงเข้าร่วมการประลองชิงดาบทอง” ไป๋ฉีกล่าวออกมา

“อะไรนะ”ผู้คนที่อยู่ในห้องโถงต่างพากันตกใจในสิ่งที่ไป๋ฉีกล่าว

“ไป๋ฉี”เหม่ยเฟิ่งจะกล่าวอะไรกับสามีกับตนเอง กลับมีเสียงดังขึ้นเสียก่อน

“เจ้าพูดมันออกมาแล้วนะไป๋ฉีเจ้าไม่สามารถกลับคำพูดของเจ้าได้” ไป๋หลี่พูดขึ้นมาก่อนที่ไป๋ฉีจะกลับคำ เมื่อได้ยินสิ่งที่ไป๋ฉีกล่าวดวงตาของไป๋หลี่นั้นส่องประกายนี่จะเป็นโอกาสดีสำหรับเขา

“คนอย่างข้านั้นไม่กลับคำพูดตัวเอง”ไป๋ฉีพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

เมื่อทุกคนรับรู้การตัดสินใจของไป๋ฉีแล้วงานเลี้ยงก็ดำเนินต่อไปมีผู้คนมากมายต่างเอาของขวัญมาให้ไป๋ฉี ไม่ว่าจะเป็นฝั่งของเขาหรือฝั่งตรงข้ามต่างก็นำของขวัญมาให้เขา เขารับไว้และตอบรับพอเป็นพิธี

เวลาค่ำคืนของงานเลี้ยงฉลองที่โถงหิมะโปรยได้ผ่านไป ท้องฟ้าที่ประดับไปด้วยหมู่ดาวมากมายไป๋ฉีและภรรยาอุ่มเด็กทารกน้อยเดินทางกลับบ้าน ไป๋ซิงพี่เผลอหลับไปในระหว่างงานเลี้ยงได้ตื่นขึ้นมาเขาหันไปรอบๆในเวลานี้คือค่ำคืนที่มืดสนิทเขาชื่นชมกับทัศนียภาพบนท้องฟ้า ทำให้เขาหวนนึกถึงบรรยากาศในงานเลี้ยงที่พึ่งผ่านไป มีทั้งบรรยากาศที่เคร่งเครียดและสนุกสนานมีการเล่นดนตรีและการแสดงเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่แปลกใหม่สำหรับเขาโดยสิ้นเชิง

“ไป๋ฉี” เหม่ยเฟิ่งเรียกผู้เป็นสามีด้วยถ้อยคำที่โกรธเคือง “ทำไมท่านต้องให้ลูกของเราเข้าร่วมการประลองชิงดาบทองท่านก็รู้ดีมิใช่หรือว่ามันยากเย็นถึงเพียงไหน”

“ข้ารู้แต่ข้าเองก็เป็นผู้ชนะการประลองชิงดาบทองคำมาแล้ว”ไป๋ฉีตอบคำถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ตัวท่านกับลูกนั้นไม่เหมือนกันท่านเป็นอัจฉริยะอันดับ1ของตระกูลไป๋ในเขตปกครองตะวันตกนี่ การประลองชิงดาบทองนั้นไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่สำหรับท่านเลยท่านก็รู้สภาพของลูกเราตอนนี้ดี”เหม่ยเฟิ่งนางคงไม่ยอมรับเรื่องนี้ง่ายๆแม้ตอนปกตินางจะนุ่มนวลอ่อนโยนตามใจผู้เป็นสามีทุกอย่างแต่เรื่องราวที่เกี่ยวพันถึงความปลอดภัยของบุตรชายของนาง นางคงไม่สามารถทนนิ่งเฉยอยู่ได้

“ข้าจะพยายามทำทุกอย่างให้ลูกของเราแข็งแกร่งพร้อมสำหรับงานประลองชิงดาบทองไม่ว่าจะสมุนไพรตามธรรมชาติหรือสมุนไพรสวรรค์ข้าจะตามหามาให้แก่ลูกของเราให้จงได้”ไป๋ฉีกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกับภรรยาของเขา

“ท่านปู่ได้แต่งตั้งลูกของเราเป็นผู้สืบทอด แล้วมีผู้อาวุโสถึง5ท่านที่เห็นชอบกับเรื่องนี้ หากเราสามารถพูดคุยกับผู้อาวุโสที่เป็นกลางให้การสนับสนุนเพิ่มอีกเพียงท่านเดียวลูกของเราก็จะได้เป็นผู้สืบทอดโดยชอบธรรมไม่ต้องเสี่ยงอันตรายประลองชิงดาบทองอีก”

ไป๋ฉีถอนหายใจ“เจ้าเข้ามาตระกูลได้ไม่นานเป็นธรรมดาที่จะไม่เข้าใจ ในสิบผู้อาวุโสของตระกูลไป๋แห่งเขตปกครองตะวันตกของเรา แม้จะมีอยู่ไม่น้อยที่สนับสนุนท่านปู แต่ฝั่งไป๋หลี่ก็มีผู้สนับสนุนไม่น้อยไปกว่าท่านปูเลย หากพวกเราต้องการการสนับสนุนจากอีก3ผู้อาวุโสที่เป็นกลางเราต้องได้2ใน3ให้สนับสนุนเราถึงจะชนะ แต่สมบัติที่ต้องจ่ายออกไปนั้นเป็นจำนวนมากมายมิใช่น้อย”

“ต่อให้เราต้องใช้สมบัติทางธรรมชาติจ่ายไปมากมายแค่ไหนมันก็คุ้มที่จะลอง มันดีกว่าให้ลูกของเราลงประลอง”เหม่ยเฟิ่งกล่างอย่างไม่ยินยอม

“หากลูกของเราได้อะไรมาอย่างง่ายๆเขาคงได้เป็นผู้สืบทอดอย่างไม่ยากเย็นแล้วจะทำให้เขาเป็นผู้อ่อนแอ เจ้าคิดว่าลูกชายของเรานั้นไม่เหมาะสมกับตำแหน่งผู้ดูแลเขตปกครองจริงๆหรือถ้าเราใช้วิธีง่ายๆไปนั้นจะทำให้เขาอ่อนแอหากมีปัญหาที่ยากลำบากในอนาคตจะทำให้เขาผ่านปัญหานั้นไปไม่ได้”

เหม่ยเฟิ่งรับฟังคำอธิบายจากผู้เป็นสามีด้วยความจริงนี้ทำให้นางนิ่งเงียบไป

“หากมีอุปสงค์เข้ามาลูกของเราจะสามารถเรียนรู้และแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างรวดเร็วจนชนะการประลองได้ง่ายเมื่อเขาชนะการประลองได้จะไม่มีผู้ใดคัดค้านการเป็นผู้สืบทอดของเขาอีกต่อไป”

“แต่ถ้าลูกของเราไม่เหมาะสมจริงๆข้าก็จะปกป้องดูแลเขาไปชั่วชีวิตของข้า”

การเป็นผู้ดูแลเขตปกครองใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่ายดายหากความสามารถของคนผู้นั้นไม่เพียงพอต่อให้สามารถขึ้นสู่ตำแหน่งได้ก็จะต้องประสบกับปัญหาต่างๆมากมายที่จะตามมาในที่สุดนางก็เข้าใจ

“ข้าเข้าใจแล้วข้าห่วงลูกของเราเกินไปข้าขอโทษท่านพี่ด้วย”นางพูดด้วยความรู้สึกผิด

“เหม่ยเฟิ่งข้าเข้าใจว่าเจ้าเป็นห่วงไป๋ซิงข้าก็เป็นห่วงเขาไม่ต่างจากเจ้าเหมือนกัน”

“แบแบ อ่าอ่า”ทั้งคู่ได้ยินเสียงเจ้าตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมแขนนางปัดเศษหิมะที่ตกลงใบหน้าของบุตรชายของนางและพ่อแม่ลูกก็เดินทางกลับบ้านด้วยความสุข

*******

ภายในตระกูลไป๋เขตปกครองตะวันตกนั้นยอดฝีมืออันดับ1ของตระกูลคือกระบี่หยาดน้ำแข็งโปรย ไป๋ฉี ส่วนตำแหน่งยอดฝีมือลำดับที่2นั้นไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้านแย่งชิงกับอสูรเพลิงไป๋หลี่

พื้นที่ภายในคฤหาสน์ของไป๋หลี่

“ข้อขอยินดีด้วยท่านพ่อที่จะได้เป็นผู้ปกครองเขตตะวันตก”วัยกลางคนกล่าวด้วยความตื่นเต้น

“ไป๋ฉีที่ยโสโอหังกับเสนอเรื่องการทดลองที่ดาบทองออกมาด้วยตนเอง”

“ข้าก็นึกไม่ถึงเช่นกัน เจ้านั่นมันกำลังวางแผนอะไร หรือเจ้าไป๋ฉีหวังที่จะให้ลูกชายเป็นผู้ชนะการประลองชิงดาบทองจริงๆ”

“เป็นไปไม่ได้หรอกท่านพ่อตามสภาพของเด็กคนนั้นแล้วเด็กคนนั้นแทบจะไม่มีหวังเลย”

“หวังว่าข้าจะไม่ได้คิดมากจนเกินไป”

“ตำแหน่องผู้ดูแลเขตปกครองสมควรเป็นของข้าตั้งแต่ตอนที่ข้ายังเป็นหนุ่มแล้ว หากข้าไม่ชะล่าใจตัวเองจนเกินไปพลาดท่าให้กับพี่ใหญ่ไป๋หยง ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวทำให้ข้าพลาดตำแหน่งผู้ปกครองเขตตะวันตกไป ทำให้ต้องรอโอกาสมาจนถึง80ปี ในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นไม่มีวันไหนเลยที่ข้าไม่คิดถึงความผิดพลาดในวันนั้น”ชายชราผู้มีอสูรพิษเป็นต่างหูแค่นเสียงออกไปพลันกำมื้อตัวเองแน่น

“แต่สุดท้ายสวรรค์ยังเข้าข้างข้า ถึงแม้ในเชื้อสายของท่านพี่จะปรากฎผู้มีพรสวรรค์เช่นไป๋ฉีปรากฏตัวขึ้น แต่มันกลับหมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝีมือเพื่อบรรลุวิถีแห่งความเป็นอมตะโดยไม่สนใจที่จะก้าวขึ้นรับตำแหน่ง และวันนี้มันยังโง่เขลาจนเลือกวิธีการประลองเพื่อทดสอบผู้สืบทอดรุ่นต่อไปอีก”

“สวรรค์ได้ลิขิตให้ท่านพ่อได้ขึ้นเป็นผู้ดูแลเขตปกครอง ขนาดสวรรค์อย่างเป็นใจขนาดนี้” ชายกลางคนกล่าวแทรกขึ้นประจบประแจ

“เจ้าอย่าเพิ่งหลงระเริงจนเกินไปผู้ที่จะชนะการประลองชิงดาบทองได้นั้นจะต้องเอาชนะเด็กหนุ่มทุกคนที่มาจากตระกูลไป๋และชนเผ่าบริวารต่างๆ” ไป๋หลี่กล่าวอย่างเชื่องช้าคล้ายกำลังทบทวนความคิด

“ในการประลองที่จัดขึ้นทุก4ปีนั้นตระกูลไป๋กลับได้รับชัยชนะไม่กี่ครั้งแม้ว่าเด็กหนุ่มจากนอกตระกูลจะไม่ได้ฝึกเคล็ดวิชาลับของตระกูลไป๋และไม่ได้รับยาบำรุงล้ำค่าต่างๆ แต่กับสามารถเอาชนะตระกูลไป๋ไปได้ สิ่งที่พวกเราต้องทำในตอนนี้คือการเตรียมพร้อมกับการทดสอบที่จะเกิดขึ้น”ชายวัยกลางคนพยักหน้าเห็นด้วยกับไป๋หลี่

“ท่านพ่อนั่นก็เพราะเด็กหนุ่มจากชนเผ่าบริวารมีจำนวนมากมายมหาศาลและในจำนวนนั้นก็มีผู้มีพรสวรรค์สูงๆปะปนอยู่ด้วยแต่เนื่องจากเด็กหนุ่มนอกตระกูลเหล่านั้นสามารถฝึกเพียงเคล็ดวิชาทั่วไปแต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งนั้นคือการต่อสู้กับความเป็นความตายจึงทำให้พวกเขาแข็งแกร่งกว่าปกติ ในขณะที่เคล็ดวิชาลับนั้นจะถูกสงวนไว้ให้แก่คนในตระกูลดังนั้นภายในเวลาไม่กี่สิบปีคนของตระกูลไป๋ก็จะสามารถก้าวล้ำหน้าเด็กหนุ่มนอกตระกูลพวกนั้นไปได้ในที่สุด”

“นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการ เจ้าจงไปคัดเลือกเด็กหนุ่มผู้มีพรสวรรค์จากชนเผ่าต่างๆนำพวกเขามาให้ยาบำรุงและฝึกสอนพวกเขาให้ดีพวกเขาล้วนแข็งแกร่งโดยธรรมชาติแม้ว่าจะขาดการบำรุงและการฝึกสอนที่ดี แต่เมื่อพวกเราคอยให้การสนับสนุนพวกเขาจะมีฝีมือก้าวกระโดด ข้าไม่เชื่อหรอกว่าลูกของไป๋ฉีจะสามารถเอาชนะเด็กพวกนั้นได้ เจ้าจงไปเตรียมทุกอย่างให้พร้อม”

“ข้าทราบแล้วท่านพ่อ”ชายวัยกลางคนกำลังจะเดินออกจากห้อง

“รอเดี๋ยวก่อน” ชายวัยกลางคนหยุดเดิน

“เจ้ารอบส่งคนของเราไปไว้ข้างกายของไป๋ฉีให้พวกเขาดูพัฒนาการของลูกไป๋ฉีและคอยรายงานข้าเรื่อยๆ รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง”

“ขอรับท่านพ่อ” ชายวัยกลางคนค่อยๆหายไปท่ามกลางความมืด

*****

สองสามีภรรยาในที่สุดก็มาถึงบ้าน แม่ของไปเขาอุ้มเขาเข้าไปในห้อง

“เป็นเด็กดีนะได้เวลานอนแล้วเจ้าตัวเล็ก” เหม่ยเฟิ่งวางบุตรชายของนางลงเตียงอย่างอ่อนโยนก่อนจะก้มลงหอมแก้มแล้วนอนลงข้างๆเขา

ไป๋ซิงหน้าแดงก่ำเขาไม่เคยถูกผู้หญิงคนไหนหอมแก้มอย่างนี้มาก่อน มีเรื่องราวต่างๆมากมายที่ประสบมาในวันนี้มันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่แปลกประหลาด

ไป๋ซิงสงบสติลงอย่างช้าๆ “ได้เวลาทดลองระบบแล้ว”

จากที่สังเกตมาตลอดทั้งวันเขาสัมผัสได้ว่าตระกูลของเขาเป็นตระกูลที่ทรงอิทธิพลที่ปกครองชนเผ่าจำนวนมากมันจึงไม่แปลกแต่อย่างใดที่ตำแหน่งผู้นำตระกูลจะเป็นที่หมายตาของผู้คนมากมาย

ตัวเรายังมีเวลาอีกมากมายที่จะฝึกฝนตัวเองให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

[สถานะ]

ระบบอัพเกรด

ชื่อ : ไป๋ซิง

พลังลมปราณ : -

วิชา : วิชาเพ่งจิตว่างเปล่า ขั้นที่1 ระดับ1 EXP[0/100] {+}

แต้มอัพเกรด : 0

ในระหว่างที่อยู่ในยมโลกนั้นเขายังไม่ได้ทำความเข้าใจในระบบอัพเกรด แต่ตอนนี้ได้เวลาแล้วที่เขาจะทำความเข้าใจการใช้ระบบอัพเกรดเขาศึกษามันกว่า 1 ชั่วโมงจึงรู้อะไรเพิ่มเติมหลายๆอย่าง

ตอนที่อยู่ในยมโลกตรงชื่อของเขานั้นเป็นชื่อแทนอยู่เลย แต่พอเขาเกิดใหม่ชื่อของเขาเปลี่ยนไปตามที่แม่ของเขาตั้งให้

พลังลมปราณนั้นเขายังไม่รู้ข้อมูลเพิ่มเติมและในช่องวิชามีอยู่วิชาหนึ่งคือวิชาเพ่งจิตว่างเปล่านั่นหมายความว่าระดับวิชานี้อยู่ในระดับต่ำสุดของขั้นที่1 ช่องEXPนั้นยิ่งฝึกวิชานี้จนชำนาญมากเท่าไหร่EXPก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆถ้าEXPเต็มแล้วระดับวิชาจะเพิ่มไปเป็นขั้นที่1 ระดับ2 ส่วนเครื่องหมายบวกนั้นต้องใช้แต้มอัพเกรดในการเพิ่มระดับวิชา ถ้าวิชาของเราอยู่ขั้นที่1 ระดับ1 ถ้าเพิ่มก็จะสามารถข้ามไปขั้นที่1 ระดับ2ได้เลย ส่วนข้อมูลอื่นยังไม่รู้ต้องรอดูในอนาคตเท่านั้น

เมื่อทำความเข้าใจระบบอัพเกรดไปบ้างแล้วไป๋ซิงก็หลับไป

*********************************************************************

ฝากกดไลค์ กดแชร์ กดติดตามช่องทางyoutube ด้วยนะครับ

ช่อง เล่าไปเรื่อย Channel

https://www.youtube.com/channel/UCq0jhJfgu3BFHkCtMgcTBcQ

 

Comment

  • ไม่มีคอมเม้น