“ข้าเป็นคนดี”
ถึงทุกคนจะรับรู้ว่าข้านั้นเป็นคนดีเป็นประชาชนผู้เคารพกฎหมาย แต่แล้วทำไมท่านเจ้าหน้าที่รักษาความสงบตรงหน้าข้าถึงได้ข่มเหงรังแกข้าไม่สิ้นสุดเช่นนี้
“ในฐานะพลเมืองที่เคารพกฎหมายแห่งนครภูผาหลิวฮวง ข้าจ่ายภาษีตรงเวลา ข้าทำงานสุจริต ในที่ทำงานข้าเป็นลูกจ้างผู้ขยันขันแข็ง ในชุมชนข้าเป็นเพื่อนบ้านและสหายที่ดี แถมข้ายังเป็นคนรักสัตว์มากมว๊ากด้วย ดูที่เหรียญนี่สิท่าน อาเป๋าของข้ายังเป็นแชมป์การแข่งขันสัตว์เลี้ยงซุปเปอร์สตาร์ประจำชุมชนเลย”
เหรียญตราพร้อมริบบิ้นถูกแขวงไว้บนกำแพงบ้านช่วยยืนยันถึงความภาคภูมิในอดีตได้เป็นอย่างดี บนเหรียญตรานั้นได้สลักประโยคว่า “แชมป์เปียนการแข่งสัตว์เลี้ยงซุปเปอร์สตาร์ประจำชุมชนเมืองหลิวฮวงประจำปีครั้งที่ 7” “ขออวยพรให้อาเป๋าที่น่ารักและร่าเริงของพวกเราสุขภาพแข็งแรงตลอดไป”
ในขณะเดียวกัน อาเป๋าที่ข้าแสนภาคภูมิใจกำลังสุขสรรค์หรรษากับมื้ออาหารอยู่ที่บริเวณกำแพงบ้าน
แต่กระนั้นไม่ว่าข้าจะพยายามอธิบายไปเท่าไร ท่านเจ้าหน้าที่รักษาความสงบชาวดาร์ดเอลฟ์กลับไม่เอ่ยปากใดๆ เพียงแต่จ้องข้าเงียบๆ ราวกลับว่านางตัดสินแล้วว่าข้านั้นพูดความเท็จ
“สัตว์เลี้ยง? อาเป๋า? เจ้าหมายถึงมอนสเตอร์น่ากลัวนั้นน่ะเหรอ! เจ้านั้นน่ะเป็นหนึ่งในหลายๆ เหตุผลที่เราได้รับคำร้องเกี่ยวกับตัวเจ้า! ครอบครัวล็อพได้ยื่นคำร้องมาว่าสัตว์เลี้ยงของเจ้าจู่โจมลูกชายบ้านพวกเขา”
ใต้เหรียญตรานั้น อาเป๋าของข้ากำลังโลมเลียกระดูกอย่างเร่าร้อนพร้อมน้ำลายไหลย้อย พอรู้ว่าเจ้าของกำลังมองมาอาเป๋าก็ได้ส่งยิ้มให้ข้า ทำไมช่างเป็นสัตว์เลี้ยงที่น่ารักเช่นนี้!!
“ครอบครัวล็อพ? ใครล่ะนั้น? ข้านึกไม่ออกสักเสี้ยวความจำ”
ในขณะที่ข้ายังลังเลอยู่ว่าจะใช้มนตราสำรวจความทรงจำเพื่อรื้อฟื้นความจำอันเลอะเลือนของข้าดีมั้ย ท่านเจ้าหน้าที่ดาร์ดเอลฟ์เหมือนจะสังเกตถึงความเลอะเลือนของข้า นางได้ส่งยิ้มเย็นชาให้ข้า
“เจ้าไม่คิดว่าคำพูดของเจ้าไร้ความน่าเชื่อถือไปหน่อยเหรอ? จะยังไงซะ กระดูกหน้าแข้งของลูกชายบ้านนั้นยังอยู่ในปากมอนสเตอร์ที่เจ้าเอ็นดูอยู่เลย”
“โฮ! อ่า! นี่ท่านพูดถึงเพื่อนบ้านครอบครัวทหารโครงกระดูกนี่เอง ครอบครัวนั้นดูท่าแล้วน่าจะเอ็นดูอาเป๋าน่าดู ช่างเป็นคนที่ใจดีอะไรเช่นนี้”
เข้าไปหาอาเป๋า ข้าพยายามที่จะดึงกระดูกหน้าแข้งออกจากปากของอาเป๋าแต่ดูแล้วจะไม่เป็นผลอันใด
ด้วยความรำคาญ ข้าได้ยกกำปั้นขึ้นแล้วทุบลงหมดหัวของเจ้าหมางี่เง่านี่
“ปล่อย! ปล่อยซะ! เจ้าโง่นี่ ถ้าเจ้ายังไม่อยากโดนขังกรงก็ปล่อยซะ!”
ช่างเป็นสุนัขที่เชื่อฟังอะไรเช่นนี้! เมื่อเห็นว่าข้าเอาจริงเอาจัง อาเป๋าที่น่ารักก็ครางหงิงๆ แล้วยอมปล่อยสมบัติของตนแต่โดยดีพร้อมส่งแววตาน่าสงสารมาให้ข้า
“ไม่ต้องกังวลไปอาเป๋า หลังจากข้าสลัดนังนี่หลุด ข้าจะให้ครอบครัวล็อพทั้งบ้านเป็นเพื่อนเล่นเจ้าตลอดทั้งปีเลย” ข้าให้สัญญากับอาเป๋าด้วยเสียงค่อยๆ
คงยากเกินที่จะเถียงชนะนางได้ด้วยกระดูกหน้าแข้งที่เป็นหลักฐานทางอาชญากรรมอยู่นี่ ข้าได้แต่พยายามฉีกหน้ายิ้มเพื่อสอพลอท่านเจ้าหน้าที่รักษาความสงบ
“เข้าใจผิดแล้วท่าน เรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิด อาเป๋าก็แค่ขี้เหงา เวลามีเพื่อนใหม่ๆ พอถึงเวลากลับบ้าน เขาก็ดื้อไม่อยากแยกจาก เช่นนั้นแล้วการได้รับของที่ระลึกเพื่อจดจำเพื่อนเหล่านั้น ไม่ถือเป็นเรื่องปกติหรอกเหรอท่าน”
ข้าพยายามส่งกระดูกคืนให้ท่านเจ้าหน้าที่ แต่ท่านเจ้าหน้าที่กลับถอยหลังอย่างฉับพลันแทน
“ถอยออกไปซะ รักษาระยะห่างจากข้าไว้ด้วย ใครจะรู้ว่าเจ้าจะเตรียมคำสาปต่ำช้าอะไรไว้บ้าง เพื่อนของข้ายังอยู่ข้างนอก ถ้าข้าไม่กลับออกไปเจ้าก็เตรียมแบกหน้ารับความพิโรธจากกองทัพผู้รักษาความสงบได้เลย”
ขนาดข้ายอมลดตัวลงมาขนาดนี้ แต่นังนู๋กลับไม่คิดจะไว้หน้าข้า เจตนาดีที่จะคืนกระดูกให้ของข้ากับถูกตอบแทนด้วยสายตาดูแคลน แถมนางยังถอยหลังไปอีกสองก้าวด้วยท่าทางองอาจจอมปลอมแสดงถึงว่านางนั้นหวาดระแวงตัวข้า
“ตัวข้าเป็นเจ้าผู้รักษาความสงบซึ่งเป็นตัวแทนของนคร เจ้ารู้รึไม่ว่าผลที่ตามมาจากจู่โจมเจ้าหน้าที่เป็นเช่นไร?”
“เข้าใจผิดแล้ว! เข้าใจผิดแล้ว! ตัวข้าเป็นคนดีจริงๆ” ข้าได้แต่ถอดหายใจเงียบๆ แล้วก็นึกเสียใจถึงการที่ดาร์ดเอลฟ์มีประสาทสัมผัสที่ไวแล้วเกี่ยวกับเวทย์มนต์ ไม่มีทางเลือกอื่น ข้าได้แต่สลายมนตราสะกดจิตกับคำสาปอสรพิษที่ใส่ไว้ในกระดูกอย่างเงียบๆ
“ข้าไม่สนใจหรอกว่าเจ้าจะเป็นคนดีหรือไม่ ตามกฎและระเบียบการรักษาความสงบของนครภูผาหลิวฮวง เจ้าต้องจ่ายปรับเป็นจำนวน 50 ทอง รวมถึงไปขอโทษภายในเวลาสามวันด้วย”
นังนี่ หลังจากทิ้งถ้อยคำว่าร้ายไว้ นางก็คว้ากระดูกแล้วหันหัวจากไป
“เจ้าจงจำไว้ให้ดีถ้าเจ้าไม่อยากให้ข้ามาเคาะประตูบ้านเจ้าอีก ครั้งต่อไปกองกำลังรักษาความสงบจะอยู่หน้าประตูบ้านเจ้าแทน”
หลังข้าปิดประตูเสร็จ ใบหน้าข้าบูดบึ้งขึ้นทันที
“นังนี่ เจ้าจงระวังตัวไว้อย่าโดนดักตีหัวแล้วโดนลากไปขายในตลาดทาสซะล่ะ ในโลกใต้พิภพนี้ ดาร์ดเอลฟ์ถือว่าเป็นสินค้าขายดีเสมอ สินค้ามีราคา”
ข้าแอบแช่งนางอย่างร้ายกาจในความคิดของข้า ทำไมน่ะเหรอ ถ้าคำพูดของข้ามีคนได้ยินแล้วนังนั้นโดนลากไปขายจริงๆ ไม่ถือว่าข้าเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งหรอกเหรอ? ข้ายังไม่โง่เง่าพอที่จะขุดหลุมฝั่งกลบตัวเอง
“เจ้ เจ้นี่สุดยอดจริงๆ ที่กล้าประจันหน้ากับปิศาจน่ากลัวแบบนั้น ข้าน่ะเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้านั่นสงบสติอารมณ์ไม่ได้เลย”
“ก็นะ อาร์มินเจ้าพวกแบบนั้นน่ะก็เหมือนกันหมด ภายนอกดูแข็งแกร่งแต่ภายในกลับอ่อนแอ ในฐานะสมาชิกที่สง่างามกองกำลังรักษาความสงบ เจ้าต้องรู้ว่า….”
ไม่ไกลจากบริเวณนั้นมาก มีผู้รับฟังบทสนทนาของดาร์ดเอลฟ์ทั้งสองอยู่
“ชิ มาดูแคลนตัวข้าได้ ถ้าตัวข้าไม่ตัดสินผลัดใบเป็นคนดี เจ้าสองคนป่าวนี้โดนขายเข้าซ่องไปแล้ว”
อาเป๋าที่น่ารัก เห็นว่าเจ้านายของตนกำลังอารมณ์หม่นหมองก็รีบวิ่งเข้ามาเลียใบหน้าของเจ้านายด้วยลิ้นใหญ่ๆ ที่เต็มไปด้วยเข็มพิษของตน
“ใจเย็น ใจเย็นๆ อาเป๋า จงจำไว้ว่าเจ้านั่นเป็นโคมากัส (Chromaggus) ที่สง่างามไม่ใช่พวกหมาบ้านโง่งมที่เปื้อนน้ำลายไปทั่วบ้าน ไปกันเถอะ เรายังต้องไปขอโทษกับครอบครัวล็อพอีกรวมทั้งต้องไปทานมื้อเย็นที่นั้นด้วย ใช่แล้ว มื้อเย็น” (Chromaggus สุนัขสองหัวอ้างอิงจาก hearthstone)
เจ้าสุนัขโง่นี่ พอได้ยินว่าจะมีของกินคืนนี้ หัวทั้งสองของอาเป๋าเริ่มน้ำลายไหลขึ้นมาทันที แถมตะครุบตัวข้าแล้วเลียข้าอย่างร่าเริงใหญ่เลย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า สุนัขนั้นเป็นเพื่อนที่ดีสุดของมนุษย์ มันยิ่งจริงเข้าไปอีกสำหรับเจ้าสุนัขล่าเนื้อสองหัวจากนรกตนนี้ ถึงอาหารสำหรับเจ้าหมอนี่จะค่อนข้างแพงก็เถอะ กระดูกที่เต็มด้วยพลังเวทย์ถือว่าเป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าพวกนี้ แต่ด้วยการสนับสนุนอย่างดีของครอบครัวล็อพ ข้าคงสามารถประหยัดอาหารไปได้สักเดือนล่ะนะ
จริงสิ ข้าลืมแนะนำตัวไปเลย ข้า โรแลนด์ มิสด์ อายุ 376 ปี และข้านั้นเป็นคนดี ถ้าจะให้ตรงกว่านั้นข้าเป็นลิชที่ดี
-------------------------------------------------------------------------------
ถ้ามีใครไปถามผู้คนบนโลกนี้ว่าพวกเขามองลิชเป็นเช่นไร ก็คงจะไม่มีคำตอบแง่บวกสักเท่าใด
“ตัวโกงแสนเหี้ยมโหด” “ตัวตนสูงสุดของเผ่าอันเดดและมนตราสายมืด” “ฝันร้ายของทุกสิ่งมีชีวิต ราชันของเหล่าอันเดด”
ถึงแม้ว่าข้าจะถือว่านั้นเป็นความอิจฉาริษยาของพวกปุถุชนสามัญและคำว่าร้ายของพวกดัดจริตแสแสร้ง แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า การเลือกปฏิบัตินำปัญหามาให้ข้าครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่อย่างน้อย ที่นครหลิวฮวงสถานที่ซึ่งห้ามการวิวาท แต่ข้าก็ยังต้องจัดการกับพวก “กลุ่มผู้กล้าล้างมาร” หรือ “นักผจญภัยโซโรรังอสูร” นักต่อนักในทุกเดือน
ถึงส่วนใหญ่ เจ้าพวกนี้กลับไร้ความสามารถที่จะพังบาเรียของบ้านข้า แต่ในบางโอกาสข้าก็ยินดีต้อนรับแขกเหล่านี้ อาทิเช่น ในวาระที่ข้าขาดวัตถุดิบทดลองเฉกเช่นตอนนี้เป็นต้น….
“…ข้าจะ..ฆ่า…เจ้า…อย่าจับตรงนั้น!ไอ้ปิศาจรยางค์บัดซบ!...ตรงนั้นก็อย่า!!ตรงนั้นมันไวต่อความรู้สึก ฮะ..ฮะ…ฮะ…ไม่นะ…ข้าขออ้อนวอน กรุณาฆ่าข้าเถอะ ขอร้องฆ่าข้าสักที!! ฆ่าข้าสิถ้าเจ้าแน่จริง”
เมื่อสัปดาห์ก่อน นักผจญภัยเผ่าเอลฟ์ที่บาดเจ็บหนักเมื่อต้องมาอยู่เบื้องหน้าของตัวข้า แต่ก็ยังข่มขู่ว่าสวรรค์จะต้องลงทัณฑ์ผู้ร้ายโฉดชั่วตนนี้ ดูตอนนี้สินางได้แต่นอนแผ่ราบในคุกสกปรกไร้ความสามารถที่จะขยับเขยื้อนใดๆ
“ปล่อยข้า อย่างน้อย…ฆ่าข้า…อย่า!” หลายต่อหลายครั้ง หลังจากโดนส่งสู่สภาวะจุดสูงสุด เสียงร้องตะโกณแสนเข้มข้นก็ตามมา นางผู้ถึงสภาวะที่ว่านั้น บีบรัดทั่วทั้งตัวนางก่อนที่ล้มลงด้วยความเหนื่อยอ่อน
ดวงตาคู่นั้นที่เคยเต็มไปด้วยความจงเกลียดจงชัง แม้ว่าจะสูญเสียแวว(โฟกัส)ไปแล้วตาม แต่ตอนนี้ดวงตาคู่นั้นกลับไร้แววชีวิตใดๆกลับจ้องมาที่ตัวข้า หลังจากนั้นประมาณครึ่งวันดวงตาคู่นั้นก็เต็มไปด้วยความเกลียดชังอีกครั้ง
“อ๊ายโย่ อย่ามองข้าด้วยแววตาแบบนั้นสิ ถ้าข้าตื่นเต้นเกินไปมันไม่ดีต่อร่างกายข้านา”
“ไอ้สารเลว!! ไอ้สารเลว!! ไอ้สารเลว!!”
“…หรือว่าพวกเอลฟ์จะมีคำศัพท์จำกัดในการด่าทอคนอื่น หรือเพราะว่าอาจารย์ภาษาของเจ้าจากโลกนี้เร็วเกินไปกันนะ นี่เจ้ารู้รึเปล่า ใช้คำเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้น่ะทำให้ข้าตื่นเต้นไม่ได้หรอกนะ”
“แกไอ้สถุล…” วันแล้ววันเล่ากับการทรมานในห้องขังสกปรกแห่งนี้ได้กัดเซาะแรงใจของนักผจญภัยหญิงผู้นี้ไปแล้ว แต่กระนั้นศักดิ์ศรีของนางในฐานะไฮท์เอลฟ์ก็ยังเหลืออยู่ แม้ว่ามันจะเกินกำลังกายของนาง แม่สาวผมทองก็ยังคงพึมพำคำสาปแช่งต่อตัวข้า
“เอาล่ะ เจ้าพักมาพอแล้วมาเริ่มยกต่อไปกันเถอะ!!”
“ป๊อก” สิ้นเสียงดีดนิ้วของข้า รยางค์สีดำทมิฬจำนวนนับไม่ถ้วนก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง เจ้าปิศาจที่ถูกอัญเชิญจากหนังสือสีชมพูตนนี้เริ่มทนต่อแรงกระตุ้นที่จะใกล้ชิดกับแม่สาวไม่ไหวซะแล้ว
“ไม่นะ!!!...ข้าขอร้องปล่อยข้าไปเถอะ”
แต่น่าสงสารที่ปิศาจอัญเชิญของข้าไม่มีเหตุผลอันใดในการรับฟังความอ้อนวอนของนักโทษ
“ข้าทนจั๊กกะจี้ไม่ได้!!”
ใช่แล้วก็แค่การจั๊กกะจี้ ข้าเป็นคนดี เข้าใจนะ ข้าไม่ทำอะไรที่มันผิดกฎหมายหรอก
“มันไม่ได้ขึ้นกับเจ้า รยางค์เอ่ยจัดหนักนางตรงเอวกับตรงคอ นั้นเป็นจุดอ่อนของนาง!”
“ฮะ… เฮ เฮ… ฆ่าข้าซะไอ้สารเลว!! …ฮะ ฮะ”
สมแล้วที่เป็นการลงทัณฑ์ที่นางหวาดกลัว ภายใต้การจู่โจมอันนับไม่ถ้วนของรยางค์ทั้งหลาย เพียงไม่นานนางก็จบลงด้วยการลงไปกลิ้งกับพื้น หัวเราะ
“ถุ้ย! สมน้ำหน้าเจ้า เจ้าบุกรุกเข้ามาในบ้านข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต เห็นได้ชัดว่าเป็นอาชญากรรม ถ้าข้าไม่สั่งสอนเจ้า คนอื่นก็คิดว่าข้าเป็นหมู(เหยื่อที่จัดการง่าย)พอดีสิ!”
และแน่นอน ข้าไม่ยอมทำอะไรที่ไม่ได้ประโยชน์หรอก เปลืองมาน่าข้ากับการลงทัณฑ์นางน่ะเหรอ จะเป็นไปได้ยังไง?
“ข้าขอร้อง ข้าแพ้แล้ว ข้ายอมแล้ว…ข้าจะทำตามที่เจ้าสั่งทุกอย่าง”
“ไม่จำเป็น ให้ข้าเห็นเจ้าทรมานนั่นล่ะคือการไถ่โทษที่ดีที่สุดของเจ้า”
มองดูตัวเลขบนหน้าจอที่เพิ่มขึ้นมานิดนึง ข้าได้แต่ถอนหายใจ
“เฮ้อ~ นี่ก็ตั้ง 3 วันแล้วข้าเพิ่งได้แต้มชั่วช้ามาแค่ 2 แต้มเอง นี่ต้องใช้เวลาเท่าใดกันนะกว่าจะถึง 100000 แต้มเพื่อชุบชีวิตร่างกายของข้า”
ได้แต่คิดถึงชีวิตรักแสนสุขที่ข้าตั้งตารอคอย แล้วมองดูร่างกายของข้าที่มีแต่กระดูก ตอนนั้นเองข้าได้เหลือบไปเห็นผู้โชคร้ายในห้องขังห้องนึง
“ลงทัณฑ์ผู้ทำความชั่วถือเป็นการกระทำของคนดี เพื่อแต้มของข้า…ไม่สิเพื่อความยุติธรรม เพื่อชีวิตรักแสนสุขของข้า…ไม่สิเพื่อที่ข้าจะได้เป็นคนที่ดี ความเจ็บปวดทรมานของพวกเจ้าถือสิ่งจำเป็นสำหรับความสุขของข้า เพราะฉะนั้นพวกเจ้าจงยอมซะ!”
ห้องขังแต่ละห้องต่างมีนักโทษจากหลายๆ เผ่าพันธุ์คุมขังอยู่ ไม่ว่าจะเป็น ธอร์เร็น เอลฟ์และเผ่าพันธุ์ที่มีประชากรมากที่สุด มนุษย์
“ปล่อยข้าไป!!” “ข้าบริสุทธิ์!!” “อย่าเข้ามา!!” เสียงกรีดร้องทรมานปนเปกับคำอ้อนวอนร้องขอชีวิตต่างดังก้องกังวาน แต่ลิชกับเมินเฉยไม่ตอบสนองใดๆ แต่เอาจริงๆ แล้ว ผู้ใดที่ปากคอเราะร้ายขึ้นมาหน่อยต่างถูกเฆี่ยนปิดปากโดยเหล่าทหารโครงกระดูกผู้คุม
“รัว เผ่าพันธุ์ มนุษย์ โจรข่มขืน ต้องคดี 6 คดี ถูกจับกุมทั้งหมด 3 ครั้ง แต่ด้วยพี่ชายแสนดีของตน ผู้ซึ่งเป็นผู้คุมแก๊งแถบท่าเรือ ข่มขู่เหยื่อจนไม่มีใครกล้ารายงาน จนที่สุดแล้วศาลสูงสุดแห่งนครหลิวฮวงจึงได้แต่ปล่อยตัวจำเลยเนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ”
แต่ ณ ตอนนี้ นายน้อยแห่งแก๊งผู้นั้นกลับเป็นผู้กรีดร้องโหยหวนแทนซะนี่
“ในเมื่อเจ้าผูกพันกับการผสมพันธุ์ซะขนาดนั้น ข้าก็เลยสนองให้เจ้าได้ผสมพันธุ์ให้ถึงใจ”
ด้วยประการฉะนี้ ข้าจึงได้สร้างโอเกอร์(ยักษ์) สูง 3 เมตรขึ้นมาคู่หนึ่งมาเป็นเพื่อนเล่นกับชายผู้นี้…แต่ทั้งสองตนกลับเป็นตัวผู้นี่สิ แล้วอะไรบางอย่างก็ไม่รู้นั้นใหญ่กว่าขาของมนุษย์ซะอีก…
เอาล่ะ ในเมื่อสภาพผู้ต้องขัง ณ ปัจจุบันตอนนี้สยองขวัญเกินจนข้ารู้สึกสะอิดสะเอียนที่จะกล่าวถึง เพราะแบบนั้นแล้วขอกล่าวถึงเพื่อนข้างห้องของเขาแทนละกัน
“เดียร์ โกล เผ่าพันธุ์ ก็อบลิน เชี่ยวชาญด้านการต้มตุ่น ถึงแม้ว่าจะโดนฟ้องร้องหลายสิบคดีแต่ฝีมือการลงมือของเขาถือว่าอยู่ในระดับมืออาชีพ ทำให้เหยื่อคดีขาดหลักฐานชี้ชัดในการเอาผิดได้ อีกทั้งเจ้าหนูนี่ก็ไม่เสียดายที่จะจ้างทนายที่เก่งที่สุดในนครหลิวฮวง จนถึงทุกวันนี้เจ้าหนูนี้ก็ยังรอดพ้นจากเงื้อมมือกฎหมาย”
แต่ ณ ตอนนี้ ผีพนันตนนี้กำลังตาแดงคร่ำเครียดกับการดวลไพ่อยู่
“ข้า…ข้าชนะแล้ว! เงินของเจ้าเป็นข้าแล้ว แล้วก็ตามที่ตกลงเจ้าต้องปล่อยตัวข้าไป! ครั้งนี้ข้าได้คิง 4 ใบ!”
มือไพ่อันเดดผู้อยู่ตรงข้ามหัวเราะขึ้นพร้อมเปิดไพ่ในมือ เอด 4 ใบ ซึ่งเป็นเซ็ตไพ่ที่ดีกว่าของเดียร์เล็กน้อย
“ไม่ ไม่ ไม่ เป็นไปไม่ได้! เจ้าชนะติดต่อกันมา 767 ตรา เจ้า! ไอ้ขี้โกง!”
“กลโกงที่ยังไม่โดนจับก็ถือว่าถูกกฎนั้นแหละ นี่เป็นวลีติดปากของเจ้าไม่ใช่เหรอไง? เอาล่ะ เอาเป็นว่าเรามาคุยเรื่องที่ซ่อนสมบัติกับความลับของเจ้าแทนเป็นยังไง!”
“ข้า…ข้าจะไถ่ตัวเองให้ได้ในตราหน้า!”
มือไพ่อันเดดน่ะเหรอ แน่นอนว่าโกง สำรับไพ่ที่ใช้น่ะ เป็นสำรับพิเศษที่ข้าลงเวทย์มนต์ไว้ ทำให้มือไพ่อันเดดสามารถเปลี่ยนได้ว่าไพ่ที่จั่วมาจะเป็นอะไร โอกาสชนะของเดียร์น่ะไม่มีซะหรอก
ถ้าเป็นคนปกติมาเจอแบบนี้คงยอมแพ้ไปนานแล้วหลังจากแพ้ติดๆกันมาหลายร้อยรอบแบบนี้ แต่ตอนนี้เดียร์ได้ตาแดงกล้ำพร่ามัว เมื่อเห็นว่าอิสรภาพกับความร่ำรวยอยู่แค่เอื้อมมือ จะยอมถอยตอนนี้ได้อย่างไร
มือไพ่อันเดดไม่จำเป็นต้องวางแผนล่อลวงให้เดียร์เล่นเกมแต่อย่างใด แค่โบกไพ่ไปมาก็ดึงความสนใจจากเดียร์ผู้มีสันดานโลภมากฝั่งแน่นในกระดูกให้โดดลงมาในกับดักมรณะนี่ด้วยตนเอง
“แค่…แค่ข้าชนะสักตรา ข้าก็จะได้ทุกสิ่งคืนมา แค่สักตรา”
ก็เหมือนเหล่าเหยื่อที่เคยโดนเจ้าหมอนี่ล่อลวง ความโลภของตนได้ลากให้ตนเองลงสู่เบื้องลึกของขุมนรก สูญเสียทรัพย์สินที่เก็บทั้งชีวิตไปทั้งแบบนั้น
ความจริงแล้ว ตัวข้าไม่ได้มีความสนใจในกลโกงหรือทรัพย์สินของเจ้าหนูนี่เลย แต่ทุกครั้งที่เจ้านี่พ่ายแพ้ความโกรธกับความดื้อรั้นในส่วนลึกของจิตใจของเจ้านี่ได้แปรเปลี่ยนเป็นแต้มชั่วช้าให้กับข้ามากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าให้เทียบกันแล้ว เพื่อนห้องขังใกล้เคียงของเจ้านี่นับวันยิ่งตายด้านให้แต้มชั้วช้าข้าได้มีแต่น้อยลงกับน้อยลง
และที่นี่คือนรก นรกที่เป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว ที่นี่คือคุกคุมขังเหล่าผู้กระทำการหยาบช้า แต่ด้วยเหตุผลนานับประการ ทำให้เหล่าผู้พิพากษาแห่งนครหลิวฮวงไม่สามารถลงอาญาคนเหล่านี้ได้
ด้วยระบบที่พึ่งไม่ได้ของข้าที่สามารถดึงความเจ็บปวดและความทุกข์ของผู้คนมาเป็นพลังได้ ด้วยฐานะที่ข้าเป็นคนดี ทำให้ข้าเลือกได้เพียงเส้นทางลงทัณฑ์ความชั่วช้า สนับสนุนความดี
ด้วยประการฉะนี้ ทำให้ข้าต้องอาศัยเส้นสาย เพื่อให้ได้ไอ้พวกถ่อยเหล่านี้มาเป็นเชื้อเพลิงให้กับ ‘ระบบลิชแสนชั่วร้าย’ ของข้า
จะให้กล่าวแม่หนูนักผจญภัย(เอลฟ์สาว) ได้รับการดูแลดีที่สุดก็ว่าได้ ยังไงซะนางก็แค่ทำกระถางดอกไม้แตกไปไม่กี่กระถาง แล้วก็ทำลายคนสวนโครงกระดูกของข้าไปไม่กี่ตน หลังจากเล่นกับนางอีกไม่กี่วันข้าก็คงปล่อยนางไป
แต่สำหรับคนอื่น พวกมันเหล่านั้นต่างเป็นพวกชาติชั่วต้องโทษตาย ฉะนั้น ข้าจะให้พวกมันลิ้มรสชาติความเจ็บปวดแบบที่มันกระทำต่อผู้อื่นให้สาสม
ตัวอย่างเช่น ให้โจรข่มขื่นได้ลิ้มรสว่าการโดนกระทำชำเราเป็นเช่นไร ให้พวกต้มตุ่นได้หรรษาไปกับการผลาญทรัพย์สมบัติ ให้พวกปล้นชิงโจรขโมยลิ้มรสกับการโดนขโมย ให้พวกพ่อค้าหน้าเลือดที่กักตุนอาหารจนมีแต่ความอดอยากลิ้มรสความรู้สึกนอนแผ่หราบนกองภูเขาเงินตราแต่ไม่สามารถซื้อได้แม้แต่เศษขนมปัง
“ไอ้วิปริต! แกมันไอ้วิปริต!”
“กรุณา ปล่อยข้าไปเถอะ!”
การทำให้ผู้อื่นเจ็บปวดแต่ข้าไม่ได้ประโยชน์ไม่ค่อยมีความหมายกับข้าสักเท่าไรหรอก แต่ด้วยความเจ็บปวดของพวกเจ้าผ่านระบบไร้นามของข้า จงเปลี่ยนเป็นพลังให้ข้า เป็นก้อนหินปูทางให้ข้าเหยียบย่ำสู่การคืนชีพของข้าซะเถอะ
“ข้าไม่บ้านา เจ้าต่างหากที่บ้า!”
“แกมันลิชบ้า! ข้าขอร้องปล่อยข้าไปเถอะ ข้ายอมทุกอย่าง!”
ลิชบ้างั้นเหรอ? มีคนพอสมควรเลยล่ะนะที่บอกว่าข้าบ้าไปแล้ว แต่คนแรกที่เรียกข้าแบบนั้นคงเป็นเจ้าหมอนั้นรึเปล่านะ
ข้าได้แต่ลูบคางด้วยนิ้วชี้พร้อมพยายามนึกถึงอดีต
“ช่วงไหนกันนะที่ข้าเริ่มเป็นบ้า? ใช่ช่วงชาติก่อนของข้ารึเปล่านะ ช่วงที่ข้ายึดมั่นว่าจะเป็นผู้พิพากษาที่เที่ยงตรงยุติธรรม แต่ก็ถูกสั่งปลดจากตำแหน่งพร้อมขับไล่จากวงการ แม้แต่ทนายข้าก็ยังไม่มีสิทธิ์เป็นรึเปล่านะ?”
“หรือจะเป็นช่วงที่ข้ากลับชาติมาเกิดพร้อมกับระบบประหลาดๆ นี่ หลงคิดว่าตัวเองเป็นตัวเอกของโลกใบนี้พร้อมตั้งปณิธานที่จะนำความรุ่งโรจน์มาสู่วงศ์ตระกูลและคนของข้า แต่สุดท้ายข้าก็ไม่สามารถเปลี่ยนชะตาที่โหดร้ายที่รอข้าอยู่ได้ ข้าสูญเสียทั้งประเทศชาติ ครอบครัวและสหายกันนะ?”
“หรือว่าจะเป็นช่วงที่ข้าสาบานจะล้างแค้นต่อพระเจ้าและพวกปลิ้นปล้อนเสแสร้ง ผลักดันให้ข้าฉุดกระชากร่างกายที่ไม่สมประกอบนี้ขึ้นแล้วสร้างกองทัพเผ่าอันเดดอันยิ่งใหญ่ แต่ที่สุดแล้วบนเส้นทางการล้างเลือดด้วยเลือดของข้า ทำให้ข้าได้ตาสว่างว่าด้านหลังของข้านั้นเต็มไปด้วยซากศพและซากปะหลักหักพังมากเพียงใด ให้ข้าได้รับรู้ว่าตัวข้านั้นไม่ต่างอะไรจากพวกเสแสร้งทะเยอทะยานเหล่านั้น เอาความถูกต้องมาบังหน้าแต่ก็นำมาซึ่งเพียงหายนะและโศกนาฎกรรมกันนะ?”
“เฮ เฮ หรือว่าที่จริงแล้วตั้งแต่ต้น ตัวข้าที่มีความทรงจำทั้งสองชาติ แล้วได้รับรู้ถึงความจริงของโลกใบนี้ ได้เป็นบ้าไปนานแล้วกัน”
ไม่มีคอมเม้น