หานเหม่ยฟางปลอบหลินซี
“เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้มันมีเหตุผลอยู่นะ อย่าไปถือสาเธอเลย ส่วนเรื่องของพวกเรากลุ่มยุวปัญญาชน เราควรปิดประตูให้มิดชิดแล้วค่อยแก้ปัญหากันจะดีกว่า อย่าให้เรื่องมันแดงไปถึงในหมู่บ้าน
เดี๋ยวเขาจะหัวเราะเยาะเย้ยเอาได้”
หลินซีคิดว่าความหมายของหานเหม่ยฟางคืออยากให้เธอยอมถอย
ซึ่งเธอก็ไม่กล้าที่จะหักหน้าหานเหม่ยฟาง แม้ตัวเธอเองจะรู้สึกไม่ค่อยดีสักเท่าไรแต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี
เช่นนั้นหานเหม่ยฟางพลันรู้สึกดีใจขึ้นมาจากนั้นเธอจึงอธิบายสถานการณ์ของกลุ่มยุวปัญญาชนให้หลินซีฟังอย่างละเอียด
ในที่พักยุวปัญญาชนตอนนี้มีกัน 12 คน ทุกคนจะผลัดกันทำอาหาร ซึ่งเสบียงอาหารจะถูกนำออกมาตามสัดส่วนที่เหมาะสมของแต่ละคน
ผักที่นำมากินเป็นผักที่ปลูกในแปลงผักที่ลานบ้าน บ้างก็ต้องไปเอาผักที่ขึ้นเองในป่ามากิน
ซึ่งงานพวกนี้ผู้หญิงจะต้องรับผิดชอบมากหน่อย ส่วนพวกผู้ชายจะรับหน้าที่เก็บฟืน
ดังนั้นเมื่อลองคิดดู งานของทุกคนก็ไม่ได้แตกต่างกันมากสักเท่าไหร่
แต่จากสภาพของหลินซีในตอนนี้ เธอก็น่าจะยังทำงานไม่ไหว และคงต้องรอฟังความคิดเห็นจากทุกคนอีกทีว่าจะให้เธอทำอะไรกันแน่
ขณะทานอาหาร ยามที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา หานเหม่ยฟางพลันยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูด
ซึ่งพวกผู้ชายก็พูดขึ้นอย่างใจกว้างว่าถ้าแขนของหลินซีหายดีเมื่อไหร่ค่อยมาผลัดเวรทำกับข้าวก็ได้
และระหว่างที่รักษาตัวให้พักผ่อนมาก ๆ ไปก่อน ในบรรดากลุ่มผู้หญิงโจวหลายตี้ไม่ได้พูดอะไร
เธอเพียงแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อย หลิวเสียนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ส่วนใบหน้าของวังเสี่ยวเจินก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
แต่อวี่หลินหลินก็รั้งเอาไว้พร้อมส่งสายตาว่าอย่าพูดอะไรเลย
หลินซีเห็นสีหน้าท่าทางของทุกคนอย่างเต็มตาแล้วเธอก็ตัดสินใจเปิดปากพูดขึ้นด้วยตัวเอง
“ตอนนี้ฉันไม่สะดวกจริง ๆ แต่ว่าฉันก็ไม่ได้อยากเพิ่มภาระให้ทุกคนหรอกนะ
เรื่องก่อไฟทำอาหารฉันก็ยังทำได้อยู่ อีกอย่างพักขาอีกสักสองวันฉันก็เดินได้แล้ว
เดี๋ยวฉันขึ้นเขาไปเก็บผักก็ได้”
เมื่อหลินซีพูดแบบนี้สีหน้าของทุกคนก็ดีขึ้นมาไม่น้อย
จากนั้นหลิวเสียก็พูดขึ้น “พวกเราขึ้นเขาด้วยกันเถอะ อยู่บนเขามีผักป่าขึ้นเยอะเลย
ฉันรู้จักทางดีพาเธอไปได้”
หลินซีส่งยิ้มขอบคุณให้หลิวเสีย ฟางฉวนจื้อพลันคิดว่าหลินซีเป็นคนฉลาดมีเหตุผล ดังนั้นเขาจึงพูดขึ้น
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ยุวฯหลินก็ต้องพักรักษาตัวเป็นหลักก่อนนะ เสบียงส่วนของเธอสำหรับวันนี้ยังไม่ได้ไปรับ
เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะไปรับเสบียงกับของใช้ประจำวันอื่น ๆ ให้เอง” พูดจบหลินซีก็กล่าวขอบคุณฟางฉวนจื้อ
เมื่อทานอาหารมื้อนี้เสร็จ หลิวเสียก็ไปซักผ้าที่ริมแม่น้ำเป็นเพื่อนหลินซี
ซึ่งเสื้อผ้าของหลินซีนั้นเยอะมาก หลิวเสียจึงเสนอตัวเข้าช่วย แต่หลินซีก็ปฏิเสธไป
และค่อย ๆ ซักด้วยตัวของเธอเอง ส่วนหลิวเสียก็ซักไปพลางคุยกับหลินซีไปพลางจนกระทั่งซักเสื้อผ้าเสร็จ
ทำให้หลินซีรู้จักกลุ่มยุวปัญญาชนมากขึ้นไม่น้อย
ฟางฉวนจื้อกับหานเหม่ยฟางเป็นสมาชิกยุวปัญญาชนที่มาถึงเป็นคนแรก
ๆ โดยภาพรวมตอนนี้ทุกคนจึงให้พวกเขาทั้งสองเป็นหัวหน้าไปก่อน
ฟางฉวนจื้อมาจากเมืองใหญ่ หานเหม่ยฟางมาจากมณฑลข้าง ๆ คนอื่นก็มาจากเมืองหรือตำบลต่าง ๆ ไม่ซ้ำกัน ส่วนหลินซีเป็นคนที่มาจากเมืองใหญ่
ซึ่งก่อนหน้านี้วังเสี่ยวเจินได้นำเธอซุบซิบนินทากับทุกคนอยู่บ่อยครั้ง
ทั้งหาว่าหลินซีเป็นผู้หญิงหยิ่ง ๆ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ตามแบบฉบับสาวเมืองใหญ่
ทำให้ทุกคนรู้สึกไม่ค่อยดีกันหลินซีสักเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้หลินซีดูเป็นคนมีเหตุผล
มีจิตสำนึกที่ดี ไม่ได้เป็นคนขี้เกียจ กะล่อน ปลิ้นปล้อนแต่อย่างใด
ทำให้ทุกคนต่างยอมรับในตัวหลินซีมากขึ้น
หลินซีรู้สึกอึดอัดอยู่ในใจ
เธอไม่เข้าใจว่าทำไมวังเสี่ยวเจินจึงไม่ชอบตนเช่นนี้ ทั้งที่ตนกับวังเสี่ยวเจินก็น่าจะไม่ได้มีเรื่องบาดหมางอะไรกันสักหน่อย
น่าเสียดายที่ไม่มีความทรงจำของเหตุการณ์ก่อนหน้านี้อยู่เลย
ตอนนี้ทำได้แต่รับมืออย่างระมัดระวังเพียงเท่านั้น
หลิวเสียช่วยหลินซีบิดผ้าให้หมาด จากนั้นทั้งสองคนก็ยกกะละมังขึ้นและเดินกลับไป
แม่น้ำจิ่งอยู่ห่างจากที่พักไกลพอสมควร ทั้งสองคนเดินมาได้พักหนึ่งก็ได้ยินเสียงก่นด่าของผู้ชายใกล้เข้ามาเรื่อย
ๆ หลินซีมองเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งวิ่งมาทางพวกเธอ ด้านหลังมีผู้ชายคนหนึ่งตามมา
ซึ่งในมือของเขาถือท่อนไม้ไว้ท่อนหนึ่ง ส่วนในปากก็มีแต่คำด่า
หลิวเสียดึงหลินซีให้เข้าไปซ่อนตัวที่ข้างทาง หลินซีรู้สึกว่าเด็กผู้ชายคนนั้นดูคุ้นหน้าคุ้นตาไม่น้อย
และแล้วเสียงของระบบก็ดังขึ้นข้าง ๆ หูของเธอ “กรุณารับภารกิจที่ 2 ช่วยฉู่เฉิง”
“โห!” หลินซีแทบกระอักเลือด ครั้งก่อนเป็นกลุ่มเด็ก
ๆ สองสามคนเธอก็ยังพอรับมือได้ แต่ตอนนี้เป็นผู้ใหญ่ ทั้งยังเป็นผู้ชายที่ดูโหดร้ายอำมหิตอีกด้วย
แล้วเธอจะเข้าไปช่วยยังไงดีล่ะ ถึงแม้จะเป็นคนขี้ขลาดอยู่บ้าง แต่ภารกิจของระบบก็ต้องทำให้สำเร็จ
หลินซีวางกะละมังลงและเดินหน้าตั้งเข้าไป ขณะที่เด็กชายวิ่งเข้ามาถึงบริเวณด้านหน้าของเธอ
หลินซีจึงดึงเด็กคนนั้นไว้ ฉู่เฉิงนึกไม่ถึงว่าจะมีคนจับเขาไว้
และด้วยความหวั่นวิตกของเขา เขาจึงพยายามดิ้นอย่างสุดกำลัง ในดวงตาคู่นั้นทอประกายเปลวไฟแห่งความโกรธพวยพุ่งเข้ามายังหลินซี
หลินซีทำได้เพียงปลอบประโลมเขา
“ฉันไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรหรอกนะ เธอไม่ต้องกลัว” ทันทีที่พูดจบ ชายคนนั้นก็ไล่ตามมาทัน
เขายกท่อนไม้ขึ้นและตั้งท่าพร้อมจะทุบลงบนตัวของฉู่เฉิงจนหลินซีต้องรีบบังฉู่เฉิงเอาไว้
“ลุงคะ ลุง มีเรื่องอะไรกันก็ค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จากันเถอะค่ะ ลุงตีเด็กแบบนี้เดี๋ยวจะเกิดเรื่องไม่ดีนะคะ”
มือของชายคนนั้นชะงักไปก่อนจะหอบหายใจเฮือกใหญ่
ผมอันยุ่งเหยิงของเขาส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมา และทันทีที่อ้าปากกลิ่นเหล้ารุนแรงก็หึ่งออกมาทันที
เขาพูดขึ้นด้วยความโกรธ “เกี่ยวอะไรกับเธอ ฉันจะตีลูกฉัน
ใครจะใหญ่มาจากไหนก็ไม่เกี่ยว หลีกไป ไม่อย่างนั้นฉันจะตีเธอด้วย”
กลิ่นเหล้าเหม็น ๆ
จากปากของชายผู้นี้ทำเอาหลินซีรู้สึกสะอิดสะเอียน เธอก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว
มือทั้งสองข้างกำแน่นแล้วรวบรวมความกล้าพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก
“ถ้าสั่งสอนลูกน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าจะทำร้ายให้เด็กต้องเจ็บตัวหรือตีให้ตาย
ก็คงไม่ใช่แค่เรื่องในครอบครัวแล้วล่ะค่ะ ลุงดูสิคะ
เด็กคนนี้ถูกตีจนอยู่ในสภาพนี้แล้ว ถ้ายังจะตีต่อไปอีกฉันว่าเป็นเรื่องแน่ ยังไงเสียคุณเองก็ยังต้องจ่ายเงินค่ายาเพื่อรักษาเขาอยู่ดีไม่ใช่เหรอ”
การห้ามปรามของหลินซีทำให้ฉู่เฉิงได้โอกาส
เขาวิ่งออกไปไกลอย่างไม่คิดชีวิต
พ่อของฉู่เฉิงมองลูกชายวิ่งหนีไปไกลอย่างทำอะไรไม่ถูก
เขาวิ่งไล่ลูกชายมาตลอดทางทำให้ไม่มีแรงเหลือแล้ว ทั้งยังโดนหลินซีห้ามปรามอีก
เขาจึงทำได้เพียงกลั้นความโกรธเอาไว้และชี้ไปที่จมูกของหลิงซีก่อนจะเปล่งเสียงด่า
“เธอยุ่งเรื่องชาวบ้านให้มันน้อย ๆ หน่อยได้ไหม ถ้าครั้งหน้ายังมายุ่งแบบนี้อีก
ฉันจะตีเธอด้วย” พูดจบเขาก็เดินจากไปด้วยความโมโห
หลิวเสียผู้ซึ่งอยู่ข้าง ๆ เบิ่งตาโตจ้องมองหลินซีราวกับว่าเธอเพิ่งเคยรู้จักหลินซีเป็นครั้งแรก
เธอตะลึงงันไปครู่หนึ่งก่อนจะรู้สึกตัวและพูดขึ้น “หลินซี
นี่ฉันดูไม่ออกเลยนะว่าเธอจะเป็นคนที่กล้าหาญขนาดนี้” หลินซีรู้สึกประหลาดใจ
หลิวเสียเห็นท่าทางงง ๆ ของหลินซีจึงพูดขึ้นต่อ “เธอไม่รู้เหรอว่าพวกนั้นเป็นใคร”
หลินซีส่ายหน้า
หลิวเสียถอนหายใจก่อนจะดึงหลินซีเดินกลับบ้าน
ระหว่างเดินเธอก็อธิบายไปพลาง ครอบครัวฉู่เป็นตระกูลใหญ่ของหมู่บ้านชิงซาน
พ่อของฉู่เฉิงเคยเป็นเกษตรกรผู้ซื่อตรง
เขาแต่งงานกับแม่ของฉู่เฉิงมานานหลายปีแต่ก็ไม่มีลูกเลย เพราะเหตุนี้เขาจึงถูกคนในหมู่บ้านนินทาอยู่เสมอ
ทำให้ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก และเรื่องนี้ก็ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองคน พวกเขามีปากเสียงกันตลอด
จนกระทั่งทั้งสองอยู่กินกันมาถึงปีที่หก แม่ของฉู่เฉิงก็ตั้งครรภ์
ถึงจะดูเป็นเรื่องดีแต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองกลับไม่ดีขึ้น ซ้ำยังแย่ลงยิ่งกว่าเดิมจนถึงขั้นลงไม้ลงมือ
แม่ของฉู่เฉิงโมโหจนหนีกลับไปอยู่บ้านตัวเองเป็นเวลานานก่อนจะคลอดฉู่เฉิงในเวลาต่อมา
แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็ยิ่งแย่ลง
หลังจากนั้นแม่ของฉู่เฉิงก็ทนใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปไม่ไหว สุดท้ายเธอเลยแอบหนีไป
เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องอื้อฉาวในหมู่บ้าน
อารมณ์ของพ่อฉู่เฉิงก็ยิ่งหุนหันพลันแล่นมากขึ้นไปอีก
พอมีเรื่องอะไรไม่ถูกใจก็เอามาลงกับฉู่เฉิงตลอด
ก่อนที่ย่าของฉู่เฉิงจะเสีย
คุณย่าจะเป็นคนดูแลเด็กคนนี้ ทำให้ชีวิตของเขาพอถู ๆ ไถ ๆ ไปได้ แต่เมื่อปีที่แล้วคุณย่าท่านเสีย
ชีวิตของฉู่เฉิงก็ยิ่งทุกข์ทรมาน คนในหมู่บ้านบางคนก็ทนไม่ไหวจนพยายามเข้าไปพูดช่วย
แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
หลังจากที่หลินซีฟังเรื่องที่หลิวเสียอธิบายจนจบ
เธอพลันรู้สึกว่าฉู่เฉิงเป็นเด็กที่น่าสงสารมากจนเกิดเป็นความเห็นอกเห็นใจขึ้นในใจของเธอ
หลิวเสียเห็นหลินซีปิดปากเงียบไม่พูดจา เธอรู้สึกได้ว่าหลินซีก็เป็นหญิงสาวที่จิตใจดีมีเมตตาคนหนึ่ง
จึงพูดให้คำแนะนำออกไป “เรื่องของครอบครัวนี้จัดการยากนะ ถ้าเธอไม่มีธุระจำเป็นอะไรก็ไม่ต้องไปคบค้าสมาคมกับพวกเขาหรอก
ที่บ้านของฉู่เฉิงยังมีอากับอาสะใภ้อีก แต่ละคนก็ไม่ใช่คนมีเหตุผลเท่าไร
เธอฟังฉันนะ อย่าไปคลุกคลีกับพวกเขาเด็ดขาด”
หลินซีพยักหน้า และแล้วพวกเธอก็กลับมาถึงที่พักยุวปัญญาชน
หลิวเสียช่วยหลินซีนำเสื้อผ้าไปผึ่งลม ส่วนหลินซีก็กลับไปที่ห้อง
โชคดีที่วังเสี่ยวเจินกับอวี่หลินหลินไม่อยู่
เธอจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่ได้พักผ่อนอย่างสงบ
แต่แล้วเสียงของเอไอก็ดังขึ้นที่ข้างหู “บรรลุภารกิจที่ 2 ได้รับรางวัล 3 เหรียญทอง ความคืบหน้าภารกิจ 3% และจากนี้ไปจะเป็นการทำภารกิจต่อเนื่อง”
“ภารกิจต่อเนื่องคืออะไร
แล้วทำไมถึงมีความคืบหน้าของภารกิจด้วยล่ะ”
ความรู้สึกดีใจที่ได้รับเหรียญรางวัลของหลินซีหายไปอย่างรวดเร็ว
เรื่องวันนี้ทำให้เธอรู้สึกลำบากใจจะแย่อยู่แล้ว
ยังจะมีการเพิ่มระดับความยากอีกงั้นเหรอ เสียงระบบอธิบายดังขึ้น “เมื่อมีหน้าใหม่เข้ามารับภารกิจ
ทุกคนจะเข้าสู้ขั้นแนะนำภารกิจซึ่งจะช่วยให้คุ้นเคยกับรูปแบบภารกิจ หลังจากทำภารกิจง่าย
ๆ สำเร็จจะเข้าสู่ภารกิจแบบต่อเนื่อง ซึ่งระบบจะให้คำแนะนำเฉพาะในเวลาที่เหมาะสม
และเธอสามารถตัดสินทิศทางของภารกิจได้ด้วยตัวของเธอเอง เพียงแค่ในท้ายที่สุดสามารถทำภารกิจให้สำเร็จได้ก็พอ
แน่นอนว่าระบบจะให้เงินรางวัลและรางวัลพิเศษต่าง ๆ ตามสภาพการณ์ที่เธอจบภารกิจนั้น
ๆ ด้วย”
ลูกตาของหลินซีกรอกไปมา “งั้นระหว่างทำภาระกิจ
ถ้ามันยากเกินไปแล้วฉันทำไม่ได้ นายจะช่วยฉันไหม”
ระบบเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับมา “เรื่องนี้บอกไม่ได้ ระบบจะตัดสินเองว่าจะให้การช่วยเหลือหรือไม่”
หลินซีแขวะกลับไปนิ่ง ๆ “พูดแต่เรื่องไร้ประโยชน์”
เมื่อโดนหลินซีแขวะระบบจึงส่งภารกิจต่อไป “ตอนนี้เธอจะต้องทำภาระกิจต่อเนื่องลำดับที่
1
นั่นก็คือได้รับความรู้สึกดีจากฉู่เฉิง”
พูดจบระบบก็ปิดตัวเองไปโดยไม่รอฟังคำถามจากหลินซีเลย
ตกดึกขณะหลินซีกำลังนอนหลับอย่างสบายใจ ฉู่เฉิงก็กำลังหลบซ่อนอยู่ในสถานที่ลับตา
บาดแผลหลายจุดบนร่างกายของเขายังคงเจ็บปวดและท้องก็ยังส่งเสียงร้องด้วยความหิวโหย
เขานอนขดตัวราวกับว่าท่าทางแบบนี้จะทำให้เขาไม่รู้สึกหิว ไม่รู้สึกเจ็บ จากนั้นเขาก็ค่อย
ๆ หลับตาลง
เช้าวันต่อมาหลินซีลุกขึ้นแต่เช้า
หลังจากชำระร่างกายแล้วเธอก็เข้าไปช่วยทำอาหารในครัวอย่างตั้งใจ
วันนี้โจวหลายตี้เป็นคนทำอาหาร เธอต้มโจ๊กข้าวโพด ทั้งยังทำขนมปังที่ทำจากแป้งข้าวโพดจำนวนหนึ่งและผักดองอีกหนึ่งถ้วย
ซึ่งนี่ก็คืออาหารเช้าของทุกคน หลังจากทานเสร็จโจวหลายตี้ก็เก็บโต๊ะ ล้างจาน
รอจนเสียงแตรเริ่มงานดังขึ้นทุกคนจึงออกไปทำงาน ขณะที่หลินซีรดน้ำผัก ฟางฉวนจื้อก็หิ้วของมากมายกลับมา
เขามองมาที่หลินซีแล้วพูดขึ้น “ยุวฯหลิน ฉันรับของของเธอมาหมดแล้วนะ”
หลินซีพยายามจะเข้าไปช่วยถือ แต่ฟางฉวนจื้อพลันบิดตัวกลับหันหลังไม่ยอมให้ช่วยถือของพลางพูดขึ้น
“ไม่เป็นไร ๆ ฉันถือเอง”
ฟางฉวนจื้อช่วยนำของทั้งหมดเข้าไปในห้องให้หลินซี
ซึ่งได้แก่เสบียงหนึ่งถุง กะละมังหนึ่งใบ ถ้วยชาหนึ่งใบและผ้าขนหนูหนึ่งผืน
เมื่อฟางฉวนจื้อวางของทั้งหมดลง เขาก็หยิบจดหมายอีกหนึ่งฉบับออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
หน้าซองจดหมายมีชื่อของหลินซีเขียนอยู่ “นี่คือเงินเบี้ยเลี้ยงของเธอนะ
ผู้แทนฯถังบอกว่าให้เธอพักผ่อนรักษาตัวตามสบาย
เงินสงเคราะห์ที่เธอบาดเจ็บเขาจะเป็นคนไปตามให้เธอเอง”
“ขอบคุณมากนะ” หลินซีรับจดหมายมา
จากนั้นฟางฉวนจื้อจึงพูดกำชับหลินซีเบา ๆ “เธอเก็บเสบียงไว้ดี ๆ ล่ะ ทางที่ดีให้ใส่กุญแจเอาไว้เลย
ตอนกลับมาทำอาหารก็เอาส่วนของวันนี้ออกมา จะได้ไม่มีใครมานินทาเธอได้”
หลินซีสัมผัสได้ถึงเจตนาดีของฟางฉวนจื้อ เธอจึงกล่าวขอบคุณอีกครั้ง
จากนั้นฟางฉวนจื้อก็เดินจากไปอย่างรีบร้อน หลินซีมองเงิน 10 เหรียญและคูปองเสบียงอาหารในซองจดหมายก่อนจะเก็บมันเข้าระบบไป
แม้ว่าระบบจะดูไม่ค่อยเป็นมิตร ปากอย่างใจอย่าง
แต่ก็ยังให้พื้นที่สำหรับเก็บของแก่หลินซีอยู่
เธอจึงนำเงินและคูปองที่ได้มาเก็บเข้าช่องเก็บของไปทั้งหมด
ไม่มีคอมเม้น