“ท่านย่า” ซูเหยียนเอ่ยปากยิ้ม ทว่าแววตากลับไร้ซึ่งรอยยิ้ม
“หากข้าลักไก่ขโมยสุนัข กินบนเรือนขี้บนหลังคา ก็ผิดที่ท่านสอนไม่ดีเอง”
“เหลวไหล!” หลี่ซื่อเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ “ข้าสอนเจ้ามาตั้งแต่ยังเด็ก
มีของดีก็ต้องคิดถึงคนในบ้านก่อน ในเมื่อนายหญิงเทพภูผาสำแดงฤทธิ์
มอบของแก่ตระกูลซูของพวกเรา กลับนึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะให้นางกินมัน” ขณะพูด
หลี่ซื่อชี้นิ้วไปยังซูหลันชิว แววตาไม่อาจปกปิดความอิจฉาริษยาได้
สายตาราวกับจ้องเนื้อวัวอบแห้งที่เหลืออยู่สองสามถุงในมือซูหลันชิวให้เป็นรู
“ซูหลันชิว รีบส่งของมาเร็วเข้า!” หลี่ซื่อขู่ซูหลันชิวอีกครั้ง
“เจ้าทำให้บิดาของเจ้าต้องตาย ทั้งยังทำให้พี่ชายแท้ๆ ต้องมาตายอีก
ยังคิดว่าตนไม่โชคร้ายพออีกหรือ? กล้าดีอย่างไรถึงได้กลับมา? ยามนี้ยังสอนซูเหยียนให้ขโมยของมาให้เจ้ากินอีก!”
ขณะพูด หลี่ซื่อก็เอื้อมมือไปแย่งเนื้อวัวอบแห้ง
ซูหลันชิวโกรธจนตาแดงก่ำ
“นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นรางวัลที่นายหญิงเทพภูผามอบให้เจ้าเจ็ด!
ท่านมีสิทธิ์อันใดมาแย่งไป? ท่านบังคับให้นางแต่งงาน
ยามนี้กระทั่งอาหารท่านก็ยังแย่งอีก!”
หลี่ซื่อตบเข้าที่ใบหน้าซูหลันชิวฉาดหนึ่งทันที “เจ้าจะไปรู้อันใด ไอ้คนไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่!
ข้าให้นางแต่งงาน นั่นคือการให้นางได้เสวยสุขอย่างแท้จริง!
คำทำนายนั่นเป็นเรื่องจริง เจ้ามาทำให้ตระกูลซูของพวกเราแตกแยก! ยามนี้ยังจะให้ข้าอกแตกตายอีกหรือ? ทำให้ท่านพ่อท่านแม่ต้องมาตายอีกหรือ?!”
หลี่ซื่อเปล่งเสียงซักถาม
ซูหลันชิวแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ นี่คือมารดาแท้ๆ ของนาง
แต่กลับปฏิบัติกับนางเป็นคนนอก
ซูเหยียนที่ยืนอยู่ด้านข้างกําลังจะก้าวไปด้านหน้า
ทว่าซูหลันชิวกลับขวางเอาไว้ นางส่ายศีรษะเบาๆ พลางกล่าวกับซูเหยียน “ช่างเถิด
อย่างไรก็ตาม นางเป็นแม่ของข้า และเป็นย่าของเจ้า”
ซูเหยียนรู้สึกสงสารซูหลันชิว แต่กลับโกรธแค้นที่ความกตัญญูอันโง่เขลาของนางนั้นเข้าตาจน นางจึงถอยหลังกลับไปสองก้าว
ทว่าหลี่ซื่อเองก็อดน้ำลายไหลเสียมิได้ นางยัดเนื้อวัวอบแห้งชิ้นนั้นเข้าปาก
เคี้ยวสองสามครั้งก่อนกลืนลงท้องราวกับกลืนลูกจ้อเข้าไปทั้งลูก
จากนั้นดวงตาของนางก็เปล่งประกาย
เลียนิ้วด้วยสีหน้าพึงพอใจและไม่พลาดแม้กระทั่งเศษเนื้อ ความละโมบบนใบหน้าของนางยิ่งเด่นชัดมากขึ้น
“ยังยืนนิ่งอยู่ไย? รีบเอามานี่!”
ใบหน้าเหี่ยวย่นของหลี่ซื่อแสดงความดุร้ายหลายส่วน
“ท่าน!” ซูหลันชิวโกรธจนพูดไม่ออก ก่อนข่มเอาไว้จนใบหน้าแดงก่ำ
เพียงแต่ผิวหนังสีเหลืองของนาง รวมทั้งโรคผิวเผือกที่สลับกับใบหน้ารูปไข่สีแดง
ทำให้ดูแปลกตาเป็นอย่างยิ่ง
หลี่ซื่อออกแรงผลักซูหลันชิว
ฉวยโอกาสกําเนื้อวัวอบแห้งที่เหลืออยู่สองสามถุงไว้ในมือแน่นพลางถลึงตาใส่นาง
“ท่านอันใด เจ้าตัวอับโชค รีบไสหัวไปซะ”
ซูเหยียนประคองซูหลันชิว ในดวงตาอันสงบไม่ตื่นตระหนกได้ทอประกายความเย็นชาออกมา
“ท่านย่า
ไยข้าจึงได้ยินว่าครอบครัวนายพรานตรงทางเข้าหมู่บ้านนั้นยากจนไม่มีอันจะกิน?” ซูเหยียนลุกขึ้นยืน แววตาเมินเฉย
ทว่าน้ำเสียงกลับไร้เดียงสาและโง่เขลา “ยังมีคนบอกอีกว่า
บิดาของเขาตายก่อนวัยอันควร
ภายในครอบครัวล้วนพึ่งพาการล่าสัตว์ของเขาเพื่อประทังชีวิต มารดาของเขาล้มหมอนนอนเสื่อมานานหลายปี...
ข้าแต่งงานไปจะได้เสวยสุขจริงๆ หรือ? เกรงว่าบ้านของเขาคงมิอาจจ่ายค่าขวัญถุงได้กระมัง!”
“บ้านของเขาให้เงินตั้งสิบตำลึงเชียวนะ!” หลี่ซื่อโพล่งออกมา
“แล้วเงินล่ะ?” ซูเหยียนถาม
หลี่ซื่อยกมือขึ้นหมายตบซูเหยียน ทว่าถูกซูเหยียนจับข้อมือเอาไว้
ปากของนางยังคงด่าทอไม่หยุด “เจ้าควรถามเรื่องนี้หรือไม่? ชั้นต่ำจริงๆ”
เกรงว่าเงินสิบตำลึงนี้ จะทําให้ครอบครัวนายพรานผู้นั้นหมดตัวเสียแล้ว
แต่งงานไปแล้วจะได้เสวยสุขหรือ?
ซูเหยียนแค่นหัวเราะพลางสะบัดมือของหลี่ซื่อออกไป “บ้านของเขาดีเช่นนี้
ไยท่านไม่แต่งงานใหม่ออกไปเสียเองล่ะ?”
“เจ้ามิได้พูดภาษามนุษย์หรืออย่างไร!” ครั้งนี้หลี่ซื่อโกรธมาก
มืออันแห้งเหี่ยวหยิกลงบนร่างของซูเหยียนอย่างดุดัน “ในสายตาเจ้า
ยังมีท่านย่าอย่างข้าอยู่อีกหรือไม่!”
“เพราะเหตุอันใดเล่า? ท่านอายุมากแล้ว มิควรแต่งงานใหม่ใช่หรือไม่?” ซูเหยียนแค่นหัวเราะ คว้ามือของหลี่ซื่อไว้แน่น “หากท่านอายุเท่าข้า
ท่านคงอดใจไม่ไหวแล้วใช่หรือไม่?”
“ข้าจะฆ่าเจ้า!” หลี่ซื่อโกรธเสียจนพูดตะกุกตะกัก
“หากฆ่าข้า ท่านอาจต้องส่งเงินขวัญถุงกลับไป”
ซูเหยียนคล้ายจะยิ้มแต่กลับไม่ยิ้ม เมื่อเห็นมือของหลี่ซื่อยกขึ้นอีกครั้ง
ครั้งนี้นางกลับไม่หลบหลีก
ทว่าหลี่ซื่อกลับเตะซูเหยียนโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
“เจ้ายังกล้าข่มขู่ข้าอีกหรือ? ตราบใดที่เจ้ายังมีลมหายใจ ครอบครัวพวกเขาก็จะหาความอับโชคของข้าไม่เจอ”
ซูเหยียนมีปฏิกิริยาตอบสนองที่ว่องไว แต่ไม่มีทางที่เมื่อร่างกายผอมบางและอ่อนแอเช่นนี้ถูกหลี่ซื่อเตะเข้า
จะสามารถยืนอย่างมั่นคงและไม่ล้มลงกับพื้นในขณะนั้นได้
ซูเหยียนคิดในใจเป็นร้อยรอบ หากนางลงมือกับหลี่ซื่อในตอนนี้
ยอมเสี่ยงชีวิตออกไป จะต้องทําให้หลี่ซื่อเสียผลประโยชน์อย่างแน่นอน
แต่...มันคุ้มค่าหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้น ในสมัยโบราณให้ความสําคัญกับความกตัญญูเป็นอันดับแรก
ต่อให้นางไม่ตายก็จะถูกผู้คนพ่นน้ำลายใส่จนตาย นางมีชีวิตที่ยากลำบากตลอดมา
การพาตัวเองออกไปเพื่อหญิงชราที่โง่เขลาและเห็นแก่ตัวแบบนี้มันคุ้มค่าหรือไม่?
“เอาล่ะ เอาล่ะ!” ซูเหยียนรีบเอ่ยขัด “แม้ว่าท่านจะกล่าวเช่นนี้
ถึงอย่างไรท่านก็จะรักษาหน้าตาของตระกูลซูไว้ใช่หรือไม่? การให้ข้าแต่งงานออกไป เมื่อพูดแล้วชื่อเสียงก็ไม่น่าฟัง”
“ฮึ่ม!” เมื่อหลี่ซื่อเห็นซูเหยียนยอมอ่อนข้อจึงเก็บมือลง “เนื้อแห้งนี้
เจ้ายังมีอีกหรือไม่?”
“หมดแล้ว” ซูเหยียนแบมือออกไป
“หากข้าพบว่าเจ้ากินคนเดียวล่ะก็...”
ก่อนที่หลี่ซื่อจะข่มขู่เสร็จ ก็ถูกซูเหยียนขัดจังหวะเอาเสียก่อน ดวงตาของนางส่องประกาย
ขับให้ใบหน้าอันผ่ายผอมนั้นโดดเด่นยิ่งขึ้น “เพียงแต่ นายหญิงเทพภูผากล่าวกับข้าในความฝันว่า...” นางหยุดพูดราวกับว่ากำลังลังเลอะไรบางอย่าง “นางไม่อนุญาตให้ข้าบอกผู้ใด”
“ข้าเป็นย่าของเจ้า! ถือเป็นคนนอกหรือไม่? พูดสิ!” หลี่ซื่อพ่นน้ำลาย บีบเนื้อวัวอบแห้งในมือแน่น
“เอาล่ะ” ซูเหยียนแอบยิ้มในใจลึกๆ ทว่าใบหน้ากลับแสร้งทําเป็นรับปาก
“นายหญิงเทพภูผากล่าวว่า สามวันให้หลัง
นางยังคงอยู่ตรงครึ่งทางขึ้นเขาของภูเขาจื่อจิง* ปรากฏตัวข้างต้นไหว** อายุร้อยปีต้นนั้น”
ดวงตาของหลี่ซื่อส่องประกายไม่หยุด นางกําลังหันหลังเดินจากไป
ทว่านึกอะไรขึ้นได้จึงหันกลับมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “หากเจ้ากล้าหนีอีก
ข้าจะหักขาสุนัขของเจ้าทิ้ง ขอเพียงสืบสกุลต่อไปได้
คิดว่าพวกเขาคงไม่ทําให้ตระกูลซูต้องลําบากใจ”
“วางใจเถิดท่านย่า ข้าจะไม่หนีอีกแล้ว
ข้ายังรอไปเสวยสุขที่บ้านของพวกเขาอยู่ล่ะ” ซูเหยียนกล่าวด้วยความจริงใจ
“ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป เจ้ากลับไปทํางานเถิด!” หลี่ซื่อครุ่นคิดครู่หนึ่ง
จากนั้นยกมือขึ้นชี้ “ยังมีเจ้าสารเลวอีกคน รีบไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้
ห้ามเข้าบ้านแม้แต่ก้าวเดียว!”
หลี่ซื่อทำราวกับว่าซูหลันชิวเป็นสิ่งเสนียดจัญไร
ซูหลันชิวสีหน้าซีดเผือด ทว่าไม่โต้แย้งอีก นางผงกศีรษะ “เจ้าค่ะ ท่านแม่”
สีหน้าของหลี่ซื่อแปรเปลี่ยน ราวกับการเรียกนางว่าท่านแม่
จะทําให้นางมีอายุสั้นลงไปอีกหลายปี
ซูเหยียนตบบ่าของซูหลันชิว “ท่านอา ขอบคุณที่ท่านมาช่วยข้า แต่ข้ายังอยากอยู่ต่อ อย่างน้อยก็สามารถดูแลน้องสาวได้ จากนี้ข้าจะหาเงินมาสร้างบ้านหลังใหญ่ให้ท่าน
ให้ท่านได้ใส่ผ้าแพรต่วน ได้กินอาหารอุดมสมบูรณ์ และพาท่านไปยังดินแดนพระผู้เป็นเจ้า...”
ซูหลันชิวคิดว่านางอายุยังน้อยและประมาทเลินเล่อจึงไม่ใส่ใจ
ทว่ายังคงรู้สึกยินดียิ่ง “มีเจ้าอยู่ด้วยก็เพียงพอแล้ว ข้า...ขอตัวก่อน”
เมื่อมองไปยังแผ่นหลังของซูหลันชิว ซูเหยียนหรี่ตาลงเล็กน้อย นางรู้ว่าซูหลันชิวไม่เชื่อ แต่นางเองก็ไม่ได้รีบร้อน
อย่าว่าแต่ประสบการณ์ทางธุรกิจที่อัดแน่นอยู่เต็มหัวของนางเลย
บอกได้เพียงว่าร้านสะดวกซื้อที่ข้ามเวลามากับนาง จะสร้างกำไรมหาศาลให้นางได้
*จื่อจิง เป็นชื่อไม้ละเมาะหรือไม้ยืนต้นขนาดเล็กชนิดหนึ่งของจีน ใบค่อนข้างกลม
ผิวใบเกลี้ยงเกลาเป็นมัน ดอกสีม่วงแก่ ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ
เนื้อไม้และเปลือกของมันสามารถใช้เป็นยาสมุนไพรได้
**ต้นไหว เป็นชื่อไม้ยืนต้นชนิดหนึ่งของจีน
มีใบซ้อนดอกสีเหลืองอ่อน ผลเป็นฝักกลมยาว ไม้ของมันใช้เป็นวัสดุก่อสร้าง
ดอกและผลสามารถผลิตเป็นวัสดุสีเหลือง อีกทั้งดอก ผล
รวมทั้งรากของมันสามารถใช้เป็นยาสมุนไพรได้
สุริยันต์ สายชมภู
30 มิ.ย. 2565 14:55อยากจะต่อยยายแก่นี่สักหมัด