Aa
Aa
Aa

ตอนที่ 9

 

“เจ้าอย่าได้หลงระเริงในของวิเศษมียอดฝีมือมากมายสามารถทำลายเสื้อดาราทองได้ด้วยเพียงนิ้วมือเพียงข้างเดียวของเล่นเหล่านี้นั้นเป็นของนอกกายความแข็งแกร่งที่เกิดจากการฝึกฝนอย่างหนักต่างหากคือสิ่งที่สามารถพึ่งพาได้อย่างแท้จริง” ไป๋ฉีกล่าวตักเตือนสติของบุตรชาย

“ข้าจะจำเอาไว้ขอรับท่านพ่อ” 

“ไม่ว่าจะมีของวิเศษมากมายแค่ไหนเจ้าก็อย่าได้หลงระเริงในพวกมันมากจนเกินไปด้วยรากฐานแห่งกายาเทพอสูรที่เจ้าฝึกปรือ ความแข็งแกร่งของร่างกาย ความรวดเร็วของการเคลื่อนไหว ความสามารถในการมองเห็นและการรับฟัง ตลอดจนความสามารถในการฟื้นฟูร่างกายจะพัฒนาขึ้นจนถึงขั้นทำให้ผู้คนแตกตื่นสะท้านโลกเลย”

“แต่ก่อนที่เจ้าจะไปถึงจุดนั้นมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งไม่ว่าจะด้านร่างกายหรือการใช้อาวุธให้ชำนาญก่อนคนผู้หนึ่งต่อให้แข็งแกร่งทรงพลังถึงเพียงไหนก็ยากที่จะต้านทานความแหลมคมของอาวุธได้ มือกระบี่ที่บรรลุถึงขั้นคนกระบี่รวมเป็นหนึ่งสามารถฟาดฟันทุกอย่างได้อย่างง่ายดายแม้ศัตรูของเจ้าจะเป็นนักสู้จอมพลัง  ถ้าเจอยอดฝีมือคนธนูรวมเป็นหนึ่งมาเจอกับเจ้าต่อให้เจ้าจะแข็งแกร่งกว่าศัตรูนับ10เท่าก็อาจจะถูกลูกธนูยิงสังหารก่อนที่จะได้สำแดงพลังออกมา”

“เวลาเจอคู่ต่อสู้ห้ามดูถูกคู่ต่อสู้หรือประมาทเด็ดขาดการประมาทคือหนทางสู่ความตาย”

“ขอรับท่านพ่อ” ไป๋ซิงเข้าใจในหลักเหตุผลเหล่านี้เป็นอย่างดี ความแข็งแกร่งของร่างกายย่อมเป็นเรื่องสำคัญ แต่ทักษะความชำนาญ ตลอดจนกลยุทธ์อันชาญฉลาด คือสิ่งที่จะช่วยเกื้อหนุนให้ความแข็งแกร่งนั้นถูกนำมาใช้ได้อย่างเต็มที่ ถ้าเจอศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าแต่ถ้าถูกกลยุทธ์อันชาญฉลาดหรือทักษะที่ชำนาญศัตรูก็สามารถพ่ายแพ้ให้เราได้ 

“เจ้าสนใจศัตราวุธชนิดใด” ไป๋ซิงกล่าวถาม

“ลูกซิง เจ้าต้องคิดให้รอบคอบก่อนค่อยให้คำตอบ” เหม่ยเฟิ่งรีบกล่าวกระตุ้น

ที่จริงสองสามีภรรยาตระเตรียมแผนการฝึกบุตรชายไว้ในใจอยู่แล้ว หากทว่าทั้งสองต้องการให้ไป๋ซิงรู้จักคิดใคร่ครวญด้วยตนเอง จึงพยายามกล่าวอ้อมค้อมก่อนชักนำเขาไปสู่ข้อสรุปที่เป็นรูปธรรม

“ข้าต้องการเรียนรู้สามวิชา วิชาแรกคือการยิงปืน”

กายาเทพอสูรมอบสายตาและพลังกายที่ยอดเยี่ยมให้แก่เขา เขาย่อมต้องใช้สิ่งที่สวรรค์ประทานมาให้นี้อย่างคุ้มค่า 

“ปืนหรือมันคือสิ่งใด”ไป๋ฉีถาม

ไป๋ซิงเพ่งสมาธิเข้าไปในจิตสำนึกและเร่งพลังของแก่นแท้ออกมาภาพเงาอาวุธชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้น “สิ่งที่อยู่เบื้องหลังของข้านี้คือปืนมันสามารถยิงออกจากปลายปากกระบอกปืนได้เหมือนเกาทัณฑ์ที่ต้องโจมตีระยะไกล”

ปืนปรากฏอยู่บนมือของเขาเขายกขึ้นและหันปลายกระบอกปืนไปด้านข้างและเหนี่ยวไกอย่างช้าๆ 

ปัง กระสุนสีขาวพุ่งชนเข้ากับฝาผนังจนเป็นรูโหว่

“นี่มัน” สองสามีภรรยาตกใจเป็นอย่างมาก 

“ลูกซิงสิ่งนี้ทำไมมีอนุภาพมากมายอย่างนี้เจ้ารู้ได้ยังไงไรว่ามันจะใช้ยังไง”เหม่ยเฟิ่งถามบุตรชาย

“ท่านแม่วิธีใช้มันปรากฏขึ้นมาในจิตใจของลูกเอง” 

“ข้าอยากใช้สิ่งนี้ให้มันคล่องแคล่วใช้ได้ทุกสถานการณ์ขอรับ”ไป๋ซิงโกหกแบบเนียบๆและตอบกลับทั้งสอง

“สิ่งที่เจ้าเรียกว่าปืนมันมีลักษณะการใช้เหมือนกับเกาทัณฑ์ข้าแนะนำผู้ที่จะฝึกฝนสิ่งนี้ให้กับเจ้าเอง”ไป๋ซิงเอ๋ยเบาๆ

“สอง ข้าอยากเรียนวิชากระบี่คู่ใช้ต่อสู้ระยะประชิด”

ตระกูลไป๋สร้างตัวขึ้นจากวิชากระบี่ บิดาของไป๋ซิงเองก็เป็นยอดมือกระบี่เจ้าของสมญานามกระบี่หยาดน้ำแข็งโปรย เขาไหนเลยไม่เลือกเรียนวิชากระบี่ได้

“กระบี่คู่เช่นนั้นหรือ” ไป๋ฉีขมวดคิ้ว แต่ยังคงปล่อยให้ไป๋ซิงกล่าวต่อไป

“และสามคือวิชาท่าร่างใช้สำหรับหลบหลีก มันนั่นคือสามสิ่งที่ข้าคิดว่าจำเป็นและอยากฝึกปรือ”

หากสู้ไม่ได้ก็หลบหนี มีแต่รักษาชีวิตเอาไว้จึงจะสร้างโอกาสให้กับตนเองได้ใหม่

เหม่ยเฟิ่งหัวเราะเบาๆ “เจ้าเดินมาถูกทางแล้ว แต่ข้าคิดว่าเจ้าเริ่มจากกระบี่เดี่ยวจะเหมาะสมกว่า ในตระกูลไป๋เราไม่มียอดฝีมือกระบี่คู่ที่จะชี้แนะเจ้าได้แม้แต่ผู้เดียว นอกจากนี้ผู้ฝึกกระบี่คู่ต้องแบ่งแยกสมาธิเป็นสองทาง สิ่งที่เจ้าควรทำคือทุ่มเทสมาธิจิตใจลงในกระบี่เพียงเล่มเดียว”

“มารดาเจ้ากล่าวถูกต้องแล้ว” ไป๋ฉีกล่าวสนับสนุน

“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าสามารถแบ่งจิตใจเป็นสองทางได้ตั้งแต่เกิด” ไป๋ซิงไม่ทราบจะอธิบายเรื่องเคล็ดวิชาเพ่งจิตว่างเปล่าให้บิดามารดาเข้าใจได้อย่างไร จึงกลบเกลื่อนไปว่านี่เป็นความสามารถที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด

ความประหลาดใจปรากฎชัดบนใบหน้าของบิดามารดาไป๋ซิงอีกครั้ง

“เจ้าเข้าใจจริงหรือว่าการแบ่งจิตใจเป็นสองทางหมายความว่าอย่างไร นั่นมิใช่เพียงแค่การทำสองสิ่งพร้อมกันเท่านั้น หากยังต้องสามารถทำได้อย่างเป็นเอกเทศและปราศจากการรบกวนซึ่งกันและกันอีกด้วย”

“ข้าเข้าใจดีท่านพ่อ”

“ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงใช้หินทั้งสองก้อนนี้เขียนตัวอักษรบนพื้น มือซ้ายเขียนชื่อมารดาเจ้า มือขวาเขียนชื่อข้า ข้าต้องการให้เจ้าเขียนอย่างต่อเนื่องพร้อมกันทั้งสองมือตั้งแต่ต้นจนจบ”ความพึงพอใจเริ่มเข้าแทนที่ความประหลาดใจในแววตาของของไป๋ฉี มือของเขาปรากฎแท่งหินสีขาวขึ้นสองแท่ง

ไป๋ซิงผงกศีรษะอย่างมั่นใจแล้วรับเอาก้อนหินมาถือไว้ในมือแต่ละข้าง เขาเริ่มต้นเขียนตัวอักษรตามที่บิดาสั่ง ตัวอักษรที่เขียนมิเพียงไม่สับสน ยังทั้งงดงามทั้งทรงพลังอีกด้วย

“มิน่าเล่า เจ้าจึงสามารถเรียนรู้เคล็ดวิชากายาเทพอสูรว่างเปล่าได้อย่างรวดเร็วเพราะพลังจิตของเจ้าแข็งแกร่งจนถึงขั้นสามารถแบ่งแยกจิตใจเป็นสองทางได้จริงๆ”ครั้งนี้แม้ว่าจะทำใจไว้ก่อน ทั้งสองก็ยังอดตกตะลึงไม่ได้ ไป๋ฉีกล่าวออกมาอย่างพึงพอใจ สายตาที่จ้องมองบุตรชายเต็มไปด้วยความชื่นชมและตื่นเต้น นี่คือเพรชงามไร้ตำหนิที่รอการเจียระไนอย่างแท้จริง

“เมื่อข้าเริ่มต้นฝึกกระบี่แรกข้าฝึกวิถีกระบี่ขกระบี่เดี่ยว ข้าใช้เวลาเนิ่นนานในการฝึกปรือกว่าที่จะสามารถเรียนรู้การแบ่งจิตใจเป็นสองทางได้ ส่วนเจ้าเมื่อสามารถทำได้มาตั้งแต่เกิด ก็เท่ากับชะตาได้ลิขิตเอาไว้แล้วว่าเจ้าจะเดินไปในวิถีแห่งกระบี่คู่ ศัตรูของเจ้าจะรู้สึกราวกับถูกกลุ้มรุมโดยมือกระบี่สองคนอย่างพร้อมเพรียง ทั้งยังเป็นมือกระบี่ที่ประสานเสริมกันโดยปราศจากช่องว่างรอยโหว่อีกด้วย”

“นับจากวันนี้เป็นต้นไป ข้าจะเป็นคนสอนวิชากระบี่ให้เจ้าเอง”

“วันนี้เจ้าก็พอแค่นี้ก่อนไปพักผ่อนได้แล้ว”

**********

เช้าวันถัดมา

ไป๋ฉีพาบุตรชายตัดฝ่าป่าทีมีพลังงานธรรมชาติอันหนาแน่นที่แผ่กระจายปกคลุมผืนดินในรูปของสายหมอกยามเช้า มุ่งหน้าไปยังสนามฝึกซ้อม

เมื่อมาถึงไป๋ฉีแนะนำบุตรชายเขาต่อชายเคราครึ้มในชุดขนสัตว์ “ลูกซิง นี่คือ ไป๋หยู ยอดฝีมือเกาทัณฑ์อันดับหนึ่งของตระกูลไป๋เขตปกครองตะวันตกของเรา”

“ไป๋หยูเจ้าจงสำแดงยอดวิชาให้เด็กน้อยผู้นี้ได้เปิดหูเปิดตาหน่อยสิ” ไป๋ฉีไม่ได้รอคำตอบของไป๋หยู ไป๋ฉีเดินไปที่ก้อนหินที่อยู่ข้างหน้า แต่ละก้อนมีน้ำหนักหลายร้อยกิโล

ก้อนหินก้อนแรกถูกเขาซัดขว้างหมุนคว้างออกไปอย่างรวดเร็ว และเพียงพริบตาถัดมาก้อนหินทั้งสี่ก้อนก็กลับกลายเป็นจุดสีดำเล็กๆสี่จุดบนท้องฟ้า

พริบตาต่อมามีคันธนูสีดำทะมึนพร้อมลูกศรสี่ดอกขึ้นมาในมือของไป๋หยู ไป๋หยูยิงลูกศรทั้งสี่ดอกหายวับไปราวกับไม่เคยปรากฎขึ้นมาก่อน เสียงดังกระหึ่มราวมังกรคำรามดังขึ้นมาจากนั้นจึงตามมาด้วยเสียงระเบิดจากบนฟากฟ้า จุดสีดำทั้งสี่แตกสลายกลายเป็นผงธุลี

“ว้าว”ไป๋ซิงอ้าปากค้างตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นจนทำอะไรไม่ถูก

“ไป๋หยูข้าไม่ได้ให้เจ้าสอนการใช้เกาทัณฑ์ให้กับไป๋ซิงแต่จะให้เจ้าสอนการโจมตีระยะไกล สิ่งที่ยอดฝีมือเกาทัณฑ์ต้องมีและต้องระวังคืออะไร ไป๋ซิงแสดงให้เขาดู”ไป๋หยูยังงงอยู่ไม่เรียนธนูแต่จะเรียนสิ่งที่นักธนูต้องมีแทน ไป๋หยูเห็นสิ่งที่อยู่ให้มือยิ่งงงเข้าไปใหญ่

ไป๋ฉีโยกก้อนหินก้อนหนึ่งขึ้นท้องฟ้าถัดมาก้อนหินก็กลายเป็นจุดสีดำๆ ปืนได้ปรากฎในมือของเขาและเขาก็ยิงปืนออกไป

ปัง 

เสียงดังกระหึ่มราวมังกรคำรามดังขึ้นมาจากนั้นจึงตามมาด้วยเสียงระเบิดจากบนฟากฟ้า จุดสีดำแตกสลายกลายเป็นผงธุลี

อนุภาพไม่แตกต่างจากเกาทัณฑ์เลย

ไป๋หยูอ้าปากค้างตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นจนทำอะไรไม่ถูกสิ่งที่เขาเห็นไม่เคยปรากฎมาก่อนจากนั้นเขาก็สงบลง

“นี่มัน”

“ไป๋หยูข้าต้องการให้เจ้าสอนการใช้อาวุธชิ้นนี้และให้เก็บเป็นความลับ”ไป๋ฉีกล่าว

ไป๋หยูพยักหน้าเข้าใจ

“นับจากวันนี้เป็นต้นไป ทุกเช้าเจ้าจะต้องมาเรียนรู้วิชาเกาทัณฑ์กับอาจารย์ไป๋หยูเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง ไป๋หยูหลังจากนี้ต้องรบกวนเจ้าแล้ว”

“ได้รับเลือกให้ถ่ายทอดวิชาแก่นายน้อย นับเป็นความยินดีของไป๋หยูขอรับ” ไป๋หยูรับคำพร้อมหัวเราะเสียงดัง

ไป๋ฉีผงกศีรษะ หันกายจากไป

สนามฝึกซ้อมกลับคืนสู่ความเงียบสงบ ลานอันกว้างใหญ่คงมีเพียงไป๋หยูกับไป๋ซิงยืนเคียงคู่กัน

“นายน้อย สิ่งที่สำคัญที่สุดของมือธนูก็คือคันธนูและลูกศร ลูกศรนั้นแบ่งออกเป็นสามส่วนคือส่วนหัว ก้าน และหาง ส่วนคันธนูนั้นประกอบไปด้วยแกนหลักและสาย ลูกธนูจำเป็นต้องจัดสร้างขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ดังนั้นคันธนูคือส่วนที่สำคัญอย่างแท้จริง”

“ข้าต้องการทราบสิ่งที่สำคัญที่สุดของอาวุธที่นายน้อยใช้คืออะไร”

“สิ่งนี้เรียกว่าปืน สิ่งที่สำคัญที่สุดของอาวุธแบ่งออกเป็นสามส่วน 1.ตลับปืนที่บรรจุกระสุนที่ข้ายิงออกไป 2.ด้ามจับและไกปืน 3.ปลายปืนที่ที่กระสุนออกมา และรายละเอียดเล็กๆอื่นอีก ปืนนั้นจะเหมือนกับธนูที่ใช้โจมตีระยะไกล”

“นายน้อยโปรดเชิญทางด้านนี้ เราจะเริ่มฝึกกันตั้งแต่กระบวนท่าพื้นฐาน” ธนูอีกคันหนึ่งปรากฎขึ้นในมือของไป๋หยู

“สิ่งที่ข้าจะถ่ายทอดให้นายน้อยในเบื้องต้นนี้แบ่งออกเป็นสองส่วน คือการฝึกกระบวนท่าพื้นฐาน ยืนยิง หมอบยิง ยิงกลับหลัง ยิงขณะทิ้งตัว ยิงขณะเคลื่อนตัว ทั้งห้ากระบวนท่า และการฝึกฝนจิตใจ”

“สำหรับกระบวนท่าพื้นฐานทั้งห้า นายน้อยต้องฝึกปรือจนกระทั่ง มือ สายตา และปืนรวมประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ยิงจู่โจมถูกเป้าหมายทุกครั้งครา จึงจะสามารถผ่านเข้าสู่ขั้นถัดไป”

“ในส่วนของการฝึกฝนจิตใจ กระบวนท่าใดล้วนไม่สลักสำคัญ ท่านจะต้องผสานจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกับลูกศรจนไม่จำเป็นต้องใช้ดวงตาในการจับเป้าหมาย ในการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดไม่มีคู่ต่อสู้ใดที่ยินยอมให้ท่านตั้งท่าเล็ง ชั่วพริบตาที่ท่านคิดจะยิง ลูกกระสุนก็ควรลั่นเข้าสู่เป้าหมายแล้ว”

ไป๋ซิงรับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ แล้วเริ่มหัดยิงในกระบวนท่าต่างๆภายใต้การควบคุมของไป๋หยู

“ช่วงเอวเหยียดให้ตรง แขนซ้ายให้เหยียดออก”

“เยี่ยงนี้ค่อยเข้าท่าอยู่บ้าง ค้างท่วงท่านี้เอาไว้”

“ท่านยิงไปที่ใด ตาบอดหรือไร”

ไป๋หยูเป็นคนเปิดเผยห้าวหาญ คำพูดที่ใช้ก็เป็นถ้อยคำอันหยาบกร้าน ไป๋ซิงกลับตั้งใจฝึกปรือโดยไม่ปริปากบ่นแม้แต่น้อย เขาเข้าใจดีว่าอาคารที่สูงค้ำฟ้าย่อมต้องเริ่มสร้างจากฐานรากที่แข็งแกร่ง การมีพื้นฐานที่มั่งคงจะเป็นตัวช่วยที่ดีในอนาคต

หนึ่งชั่วโมงเต็มกับการฝึกต่างผ่านพ้นไปเขาก็กลับมาที่บ้าน

มีอาการปวดปลาบแปลบที่เอวและหลังจากการอย่างหนักหน่วงเขาก็พักอยู่ในห้อง

*********************************************************************

ฝากกดไลค์ กดแชร์ กดติดตามช่องทางyoutube ด้วยนะครับ

ช่อง เล่าไปเรื่อย Channel

https://www.youtube.com/channel/UCq0jhJfgu3BFHkCtMgcTBcQ

 

Comment

  • ไม่มีคอมเม้น