ตอนที่ 161
อันที่จริงแล้ว..ข้ามาจากเบิร์นนิ่ง ลีเจี้ยน!
ความจริงแล้ว
รอยคิดเอาไว้แล้วว่าจะรับมือกับจตุรอาชายังไงและเรื่องไหนที่จะทำให้พวกเขาสนใจได้ก่อนที่จะได้เจอกับฟิวรี่ซะอีก
เนื่องจากว่าจตุรอาชาแห่งความวิบัติทั้งสี่นั้นเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกัน
ในตอนแรกรอยกะจะใช้เรื่องที่ว่าวอร์กำลังถูกคุมขังเพื่อดึงดูดความสนใจของจตุรอาชาคนอื่นๆ
เพราะว่ายังไงพี่น้องก็ไม่มีทางทิ้งกันแน่
แต่ว่าถ้ารอยคิดจะใช้แผนนั้น...รอยคงไม่สามารถอธิบายให้กับจตุรอาชาคนอื่นๆฟังได้ว่าเขารู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร
เพราะการเปิดเผยพล็อตเรื่องนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ตลอดเวลา
ยิ่งไปกว่านั้นการที่วอร์ถูกคุมขังนั้นมีแต่ประเด็นที่น่าสงสัยเต็มไปหมดเพราะมันไม่เพียงแต่จะเกี่ยวข้องกับชาร์ดคอนซิลเท่านั้น
แต่ไม่แน่ว่ามันอาจจะเกี่ยวข้องกับแผนการของสองราชาปีศาจอย่างซามาเอลและลิลิธอีกด้วย
ดังนั้นการใช้เรื่องของวอร์เป็นข้ออ้างนั้นอาจนำรอยไปสู่ปัญหาได้ถ้าเขาไม่คิดให้รอบคอบพอ
แต่ทว่าในตอนที่รอยกำลังคุยกับจูเลียเกี่ยวกับสถานการณ์ของเมืองราชาปีศาจที่ตั้งอยู่ในแบล็คสโตนนั้น
รอยก็ดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก!
พลังที่ถูกเรียกว่า’การเสื่อมถอย’ที่สามารถดูดกลืนได้ทุกสิ่งและสามารถทำให้ทุกชีวิตเสื่อมสภาพลงได้นั้นคล้ายกับ’พลังแห่งความว่างเปล่า’ที่อยู่ในโลกของวอร์คราฟต์ และรอยก็กำลังสงสัยว่าพลังแห่งความว่างเปล่านั้นก็กำลังกัดกินโลกของดาร์คไซเดอร์แห่งนี้อยู่! ดังนั้นรอยจึงตัดสินใจที่จะใช้เรื่องนี้ในการดึงดูดความสนใจของฟิวรี่ และนำทุกอย่างที่เขารู้เกี่ยวกับพลังแห่งความว่างเปล่าของโลกวอร์คราฟต์มาใช้ในการอธิบายปรากฏการณ์’การเสื่อมถอย’ในโลกดาร์คไซเดอร์นี้...
“เผ่าพันธุ์ไททั่นนั้นแท้จริงแล้วถือกำเนิดขึ้นจากวิญญาณของดาวเคราะห์ ที่ต่อมาถูกเรียกว่าวิญญาณพิภพ
ซึ่งวิญญาณพิภพเหล่านี้ก็คือจิตใต้สำนึกของดาวเคราะห์และเมื่อจิตวิญญาณของพวกเขาตื่นขึ้น
พวกเขาก็ถือกำเนิดขึ้นเป็นเหล่าไททั่น!”
รอยนั่งลงที่พื้นตรงหน้าฟิวรี่ “ว่ากันว่าวิหารแพนธีออนถูกสร้างขึ้นโดยไททั่นตนแรก
อามันธัล”
“หลังจากที่อามันธัลถือกำเนิดขึ้น เขาก็ได้ท่องไปยังโลกต่างๆเพื่อค้นหาดาวเคราะห์ที่มีวิญญาณพิภพและปลุกจิตวิญญาณเหล่านั้นให้ถือกำเนิดขึ้นเป็นไททั่น
เผ่าพันธุ์ที่เต็มไปด้วยความเมตตานี้ถือกำเนิดขึ้นท่ามกลางความผาสุกและสงบเรียบร้อย
พลังของพวกเขาเชื่อมโยงกับเวทมนตร์ที่ซ่อนเร้นอยู่ในจักรวาลอันยิ่งใหญ่ และพวกเขาก็ตระหนักดีว่าพลังของพวกเขานั้นยิ่งใหญ่เกินไป
ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะพบเจอเผ่าพันธุ์ไหนหรืออารยธรรมใด
พวกเขาก็เลือกที่จะใช้สันติวิธีมาโดยตลอด”
“อย่างนั้นเหรอ?
หมายความว่ามีสิ่งมีชีวิตอื่นที่ดำรงอยู่เหนือกฏแห่งโลกที่คอยรักษาเจตจำนงของผู้สร้างและรักษาสมดุลของจักรวาลเหมือนกับชาร์ดคอนซิลสินะ” ฟิวรี่นั่งลงไขว่ห้างตรงข้ามกับรอยและรับฟังเรื่องราวของเขา
รอยยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดของฟิวรี่ “อย่าเพิ่งด่วนสรุป
ข้ายังเล่าไม่จบ” รอยเล่าต่อไป “ในวิหารแพนธีออน
มีไททั่นผู้ยิ่งใหญ่ตนหนึ่งนามว่า ซาร์เกราส ผู้ซึ่งเป็นนักรบและผู้พิทักษ์ที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งวิหารแพนธีออน
อีกทั้งยังเป็นผู้สูงศักดิ์ที่สุดของเหล่าทวยเทพ
เขามีร่างกายใหญ่โตเท่ากับดาวเคราะห์ที่สง่างามอย่างไม่มีใครเทียบได้
ทั้งคุณสมบัติ ความกล้าหาญ และศรัทธาที่แน่วแน่ทำให้เขาได้รับความไว้วางใจจากวิหารแพนธีออนให้ออกล่าปีศาจที่อยู่ในส่วนลึกของ
‘ทวิสติ้ง เนเธอร์’และเขาก็สาบานตนว่าจะชำระล้างจักรวาลของพวกปีศาจทั้งหมด”
“ไททั่นที่ทรงพลังขนาดนั้นกำลังจัดการกับเผ่าปีศาจอย่างพวกเจ้าเนี่ยนะ?” ฟิวรี่ยิ้มเยาะขณะที่ชี้ไปยังรอย “ถ้างั้นโลกปีศาจของพวกเจ้าก็คงถึงกาลอวสานแล้วล่ะ”
“เปล่าเลย! เมื่อตอนที่ข้าไปที่โลกนั้น ซาร์เกราส
ไททั่นผู้ยิ่งใหญ่ตนนั้นก็ได้กลับกลายเป็นดาร์ค ไททั่นและแทนที่จะทำลายล้างโลกปีศาจ
ซาร์เกราสดันทำลายวิหารแพนธีออนที่อามันธัลสร้างขึ้นและฆ่าไททั่นทั้งหมดทิ้ง!” รอยกอดอกและยิ้มเยาะฟิวรี่คืน
“ไร้สาระ!” ฟิวรี่ลุกขึ้นทันทีและจ้องเขม็งไปที่รอย
“ข้าบอกได้เลยว่าเรื่องของเจ้ามันไร้สาระ!”
“นี่!...ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นปีศาจแต่ข้าก็ไม่โกหกหรอกนะ!”
รอยโต้กลับ “ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าข้ายังมีชีวิตอยู่ได้ยังไงล่ะ! อย่าเพิ่งขัดจังหวะ ฟังข้าก่อนแล้วเจ้าจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“ก็ได้ ข้าจะดูซิว่าเจ้าจะเล่าเรื่องไร้สาระแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน!” ฟิวรี่นั่งลงอีกครั้งและตั้งใจฟังเรื่องของรอยต่อ รอยโกหกว่าเขาเคยไปที่โลกวอร์คราฟต์มาก่อนและเล่าเรื่องราวกับว่าเขาเคยสัมผัสมันด้วยตัวเอง
ทั้งฟิวรี่และทุกคนต่างก็รู้ว่าพวกปีศาจแห่งขุมนรกสามารถเดินทางไปยังโลกอื่นๆได้ด้วยประตูนรก
ดังนั้นฟิวรี่จึงเชื่อว่าเรื่องที่รอยกำลังเล่าคือเรื่องจริงที่เขาสัมผัสมาด้วยตัวเองแม้ว่าฟิวรี่จะยังมีข้อสงสัยอยู่บ้าง
นอกจากนี้น้ำเสียงที่รอยใช้เล่าเรื่องยังเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ชวนน่าเชื่อถือ
ในตอนนี้ไม่เพียงแค่ฟิวรี่เท่านั้นที่ตั้งใจฟังเรื่องราวของรอย
แม้แต่วัลกริมที่กำลังซ่อนตัวอยู่ในเดอะ เพอเกทอรี่ สเปซและวอทเชอร์ที่ถูกชาร์ดคอนซิลส่งมาจับตาดูฟิวรี่ต่างก็ถูกเรื่องราวของรอยดึงดูดความสนใจ
รอยเริ่มเล่าต่อไป “เมื่อข้าไปที่โลกนั้น ข้าไม่ได้ไปโผล่ที่โลกหลักแต่ดันไปโผล่ในสถานที่ที่เรียกว่า’ทวิสติ้ง เนเธอร์’ ซึ่งเป็นอาณาจักรที่เต็มไปด้วยความมืด
ความวุ่นวาย ความบิดเบี้ยว และความโกลาหลไม่มีที่สิ้นสุด
ที่นั่นนอกจากมีปีศาจแห่งขุมนรกจำนวนมากแล้วยังมีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า’ปีศาจแห่งความว่างเปล่า’อยู่ด้วย
พวกมันมีลักษณะภายนอกที่ดูดุร้ายเหมือนกับปีศาจแห่งขุมนรกเพียงแต่ว่าพวกมันถือกำเนิดขึ้นจากการกัดกร่อนของพลังแห่งความว่างเปล่า!”
“ปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนในทวิสติ้ง เนเธอร์
ได้ก่อตัวขึ้นเป็นกองทัพขนาดใหญ่ที่มีชื่อเรียกว่า เบิร์นนิ่ง ลีเจี้ยน
และผู้นำของกองทัพเบิร์นนิ่ง ลีเจี้ยน ก็คือดาร์ค ไททั่น ซาร์เกราส!” รอยยังคงปั้นเรื่องต่อไปโดยไม่เปลี่ยนแม้แต่สีหน้าท่าทาง “ข้าอยู่ที่นั่นสักพักและก็ได้กลายเป็นสมาชิกของเบิร์นนิ่ง ลีเจี้ยน
จากการที่ข้าได้อยู่ที่นั่น ข้าได้ยินข่าวลือมากมายจากปีศาจตนอื่นๆ
รวมไปถึงข่าวลือที่ว่าทำไมซาร์เกราสถึงได้กลายเป็นดาร์คไททั่นด้วย!”
“เดิมทีซาร์เกราสนั้นได้รับมอบหมายจากวิหารแพนธีออนให้เข้าไปในทวิสติ้ง
เนเธอร์
เพื่อกวาดล้างปีศาจที่อยู่ที่นั่นเพื่อยับยั้งไม่ให้พวกมันทำลายและขัดขวางแผนของเหล่าไททั่นที่จะปลุกวิญญาณพิภพตนอื่นๆ
แต่ทว่าลึกลงไปในใจกลางทวิสติ้ง เนเธอร์ที่เหี่ยวเฉาและมืดมิด ซาร์เกราสได้ค้นพบความจริงของทวิสติ้ง
เนเธอร์!”
“ความว่างเปล่านั้นเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับทุกสิ่ง
หากผู้สร้างคือผู้ที่บันดาลทุกๆสิ่ง
ความว่างเปล่าก็คือผู้ที่จะทำลายล้างทุกๆสิ่งเช่นกัน
ดังนั้นพลังทั้งสองนี้เป็นศัตรูต่อกันอย่างไม่ต้องสงสัย!”
รอยกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ไม่นานนัก สิ่งมีชีวิตกลุ่มหนึ่งที่น่าสะพรึงกลัวก็ถือกำเนิดขึ้นจากความว่างเปล่าและพวกมันก็ถูกเรียกว่า
ลอร์ดแห่งความว่างเปล่าผู้ใช้พลังแห่งความว่างเปล่าอันเยือกเย็นเพื่อที่จะกลืนกินและปนเปื้อนดาวดวงใดก็ตามที่มีวิญญาณพิภพหลับไหลอยู่!”
“ซาร์เกราสตระหนักได้ทันทีว่าเมื่อพลังแห่งความว่างเปล่าสามารถปนเปื้อนไททั่นที่กำลังหลับใหลอยู่ได้สำเร็จ
ไททั่นตนนั้นจะถือกำเนิดขึ้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่มืดมิดที่สุดในจักรวาล ที่แม้แต่วิหารแพนธีออนหรือสิ่งใดก็ตามในจักรวาลไม่สามารถต้านทานมันได้! เมื่อถึงเวลานั้น ไททั่นที่ถูกปนเปื้อนก็จะดูดกลืนทุกสสารและทุกพลังงานที่อยู่ในจักรวาลตามประสงค์ของลอร์ดแห่งความว่างเปล่า”
“ซาร์เกราส นักรบผู้ไร้เทียมทานแห่งเผ่าไททั่น
ได้ลิ้มรสความกลัวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เขาถือกำเนิดมา
ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าลอร์ดแห่งความว่างเปล่าก็กำลังตามหาวิญญาณพิภพที่กำลังหลับไหลอยู่เช่นเดียวกับวิหารแพนธีออนแต่มิใช่เพื่อปกป้อง
ซาร์เกราสไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าพลังแห่งความว่างเปล่าจะสามารถครอบงำไททั่นที่กำลังหลับไหลได้อย่างสมบูรณ์แบบ! ด้วยความโกรธและความกลัวเกี่ยวกับความจริงตรงหน้า
ซาร์เกราสเงื้อดาบขึ้นสูงและผ่าโลกที่อยู่ตรงหน้าภายในดาบเดียวและทำลายโลกที่อยู่ตรงหน้าเขาไปพร้อมกับไททันที่กำลังหลับไหลอยู่ในนั้น!”
“หลังจากที่ซาร์เกราสทำลายดาวทั้งดวงไปพร้อมกับไททั่นที่กำลังหลับใหล
เขาก็ตระหนักได้ว่าวิธีเดียวที่จะหยุดพลังแห่งความว่างเปล่าได้ก็คือการทำลายล้างดาวทุกดวงทิ้งเพื่อไม่ให้พลังแห่งความว่างเปล่าครอบงำเหล่าไททั่นที่กำลังหลับไหลได้...แต่ทว่าเมื่อเขากลับมาที่วิหารแพนธีออนและรายงานเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น
เหล่าไททั่นแห่งวิหารกลับไม่มีใครสักคนที่เชื่อเขาเพราะเหล่าไททั่นตนอื่นๆไม่ได้เห็นความน่าสะพรึงกลัวของลอร์ดแห่งความว่างเปล่าด้วยตาของพวกเขาเอง
และพวกเขาก็ไม่เข้าใจถึงความสิ้นหวังที่ก่อตัวอยู่ในใจของซาร์เกราส
แถมพวกเขายังต่อว่าซาร์เกราสว่าทำอะไรไม่ยั้งคิดอีกด้วย...”
“แม้ว่าซาร์เกราสจะพยายามอธิบายอย่างสุดความสามารถว่าสิ่งที่เขาทำลงไปนั้นมันจำเป็นแค่ไหน
แต่เขาก็พบว่าความพยายามของเขามันไร้ประโยชน์สิ้นดี
การโต้เถียงระหว่างซาร์เกราสและไททั่นตนอื่นๆแห่งวิหารแพนธีออนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆเพราะสิ่งที่ซาร์เกราสกลัวมากที่สุดก็คือการที่พลังแห่งความว่างเปล่าสามารถปนเปื้อนและเข้าครอบงำวิญญาณพิภพได้
และถ้าหากปล่อยเอาไว้อย่างนี้ มันก็อาจจะสายเกินไป”
“ดังนั้นความสิ้นหวังและความผิดหวังจึงได้ทำลายศรัทธาของซาร์เกราสลง
เขาตัดสินใจแยกทางกับวิหารแพนธีออนด้วยความโกรธเคือง เขาเชื่อว่าเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ของเขาจะไม่มีวันเข้าใจถึงความจริงที่เขาได้เผชิญและถ้าหากไม่มีใครคิดที่จะช่วยเขายับยั้งพลังแห่งความว่างเปล่าล่ะก็
เขาจะทำมันด้วยตัวคนเดียว!”
“ซาร์เกราสรู้ตัวว่าเขาต้องการกองทัพเพื่อที่จะต่อกรกับลอร์ดแห่งความว่างเปล่าและเขาก็รู้ดีว่าเขาจะหามันได้จากที่ไหน
ซาร์เกราสกลับไปที่ทวิสติ้ง เนเธอร์
และใช้พลังแห่งความมืดและพลังแห่งความชั่วร้ายจำนวนมหาศาลที่อยู่ในทวิสติ้ง
เนเธอร์เพื่อกลายเป็นดาร์ค ไททั่น
เขารวบรวมกองกำลังทัพปีศาจและเริ่มออกทำลายดาวดวงใดก็ตามที่มีวิญญาณพิภพที่กำลังหลับไหลอยู่
ซึ่งอาจเสี่ยงที่จะถูกพลังแห่งความว่างเปล่าเข้าครอบงำ!”
“ดาร์ค
ไททั่นผู้นี้ตระหนักอย่างลึกซึ้งว่าทางเดียวที่จะหยุดแผนของลอร์ดแห่งความว่างเปล่าได้ก็คือการเผาทำลายดาวทุกดวงให้กลายเป็นเถ้าธุลีเท่านั้น...”
รอยเพียงแค่อธิบายสั้นๆและไม่ได้กล่าวถึงซาร์เกราสต่อมากนักเพราะเหตุการณ์และเรื่องราวเหล่านี้อาจเป็นประวัติศาสตร์นับล้านปีแห่งโลกวอร์คราฟต์ซึ่งไม่ใช่อะไรที่เขาจะอธิบายได้ด้วยเพียงชั่วเวลาสั้นๆ
แต่ถึงอย่างนั้นฟิวรี่และจูเลียก็ได้แต่ครุ่นคิดอย่างหนักเมื่อได้รับฟังเรื่องราวของรอย
ในความเห็นของฟิวรี่ เรื่องของรอยดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องที่เขาแต่งขึ้น
เพราะถ้าเขาเป็นคนแต่งขึ้นมาจริงๆ
มันจะต้องมีช่องโหว่ที่ไม่สมเหตุสมผลมากมายภายในเรื่อง อีกอย่าง
ทั้งชื่อเบิร์นนิ่ง ลีเจี้ยน แพนธีออน ไททั่น และวิญญาณพิภพ
ก็ดูเหมือนชื่อที่มีอยู่จริงๆ
“พลังแห่งความว่างเปล่านั้นน่ากลัวขนาดนั้นเลยอย่างนั้นเหรอ?” ฟิวรี่ขมวดคิ้วถาม “น่ากลัวจนแม้แต่ไททั่นผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังรู้สึกสิ้นหวังจนต้องเปลี่ยนจากผู้ปกป้องกลายมาเป็นผู้ทำลายเลยงั้นเหรอ?”
“ข้าไม่รู้” รอยส่ายหัว “เพราะข้าไม่ได้อยู่ที่โลกนั้นนานนัก
โลกนั้นมีแต่สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งเต็มไปหมด
ตัวข้าในตอนนั้นจะเป็นแค่ทหารเดนตายในหมู่พวกปีศาจยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่ก็ยังโชคดีพอที่จะรอดมาและหาทางกลับไปยังขุมนรกได้...ดังนั้นข้าจึงตอบคำถามของเจ้าไม่ได้หรอก
เพราะข้ายังไม่ทันได้สัมผัสกับพลังแห่งความว่างเปล่าที่แท้จริงเลยด้วยซ้ำ
ข้ารู้เพียงแค่ว่ามีดาวเคราะห์มากมายที่ถูกทำลายในโลกนั้น
อันที่จริงเมื่อข้ามาที่โลกนี้ข้าก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นมากนัก แต่หลังจากที่ข้าได้ยินถึงสิ่งที่เรียกว่า’การเสื่อมถอย’และคำอธิบายว่ามันคืออะไรจากจูเลีย
ข้าก็รู้สึกว่าพลังนั้นมันคล้ายกับพลังแห่งความว่างเปล่าจริงๆ... ”
ฟิวรี่เงยหน้าขึ้นมองจูเลียที่เพิ่งจะหายจากอาการตกใจ
จูเลียพยักหน้ายืนยันกับฟิวรี่อย่างรวดเร็ว “ท่านจตุรอาชา
ข้ายืนยันได้ว่าสิ่งที่โอซิริสพูดนั้นเป็นความจริง!
ข้าเล่าเรื่องความผิดปกติที่เกิดขึ้นในพื้นที่แบล็คสโตนของราชาปีศาจซามาเอลให้กับเขาฟัง
ข้าไม่รู้ว่าท่านเคยไปที่นั่นมาก่อนหรือเปล่า
แต่ในตอนนี้แบล็คสโตนใกล้จะถูกดูดกลืนไปหมดแล้ว
บางทีพลังนี้อาจเป็นพลังเดียวกันกับพลังแห่งความว่างเปล่าจริงๆ...”
เมื่อได้ยินจูเลียช่วยยืนยันเช่นนี้
รอยก็อดไม่ได้ที่จะขอบคุณเธออยู่ในใจ...
ไม่มีคอมเม้น