หลินซีเก็บของทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเธอก็ไม่มีอะไรให้ทำอีก
ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะแบกตะกร้าใบน้อยตรงไปยังเขาซวงผิง
เขาซวงผิงสูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 500 - 600 เมตร ทั่วทั้งหุบเขาเต็มไปด้วยสีเขียวชอุ่มเต็มไปหมด
แถมในอากาศยังมีกลิ่นหญ้าสดใหม่ลอยอบอวลอยู่ด้วย เธอเดินขึ้นไปตามทางของหุบเขาที่สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้สูงต่ำเรียงรายเป็นทิวแถว
บนต้นไม้บางต้นก็มีผลไม้ห้อยอยู่ประปราย หลินซีเดินหน้าไปอย่างมีความสุขและวางแผนจะเก็บมันมาลองชิมดู
แต่แล้วหางตาของเธอก็เหลือบไปเห็นก้อนอะไรบางอย่าง
หลินซีเดินเข้าไปหามันด้วยความสงสัยก่อนจะเดินเข้าไปแล้วพบว่าเจ้าก้อนที่ว่านั่นก็คือคนคนหนึ่ง
หลินซีสำรวจอย่างละเอียดก็เห็นว่าคนคนนั้นขดตัวเป็นก้อนกลมไม่ขยับเขยื้อน
คงไม่ใช่คนตายหรอกนะ หลินซีแอบตกใจอยู่เล็กน้อย แต่ขณะที่เธอกำลังจะก้าวถอยไปด้านหลังข้างหูของเธอก็มีเสียงระบบดังขึ้นมา
“นั่นคือฉู่เฉิง เขายังมีชีวิตอยู่”
หลินซีกลืนน้ำลายลงคอเรียกความกล้ากลับคืนมาแล้วอ้าปากถามออกไป
“นายรู้ได้ยังไง” ระบบตอบกลับมาเสียงเย็น
“ฉันเป็นปัญญาประดิษฐ์นะ แค่สแกนนิดเดียวก็รู้แล้ว”
หลินซีสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงดูถูกของระบบแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
ตอนนี้เจ้านั่นแข็งแกร่งส่วนเธออ่อนแอ เธอจึงทำได้เพียงต้องยอมรับมัน
หลินซีเดินเข้าไปข้างหน้าอีกครั้งก่อนจะตบไหล่ของฉู่เฉิงแล้วเรียกเขาขึ้นมาเสียงเบา
ฉู่เฉิงค่อยๆลืมตาขึ้นมาจนเห็นว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขา
สายตาของเขาพร่าเลือนเล็กน้อย แต่เมื่อพยายามเพ่งมองอยู่สักพักฉู่เฉิงก็จำได้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่จับตัวเขาไว้เมื่อวานนี้
ถึงผู้หญิงคนนี้จะช่วยเขาเอาไว้เมื่อวาน
แต่ฉู่เฉิงก็ยังคงถอยหลังออกไปอย่างหวาดระแวงพร้อมสายตาที่ระวังตัวเต็มที่
หลินซีมองพวงแก้มแดงก่ำจากการถูกทุบตีของเด็กน้อย
บนใบหน้าของเขามีรอยฝ่ามือประทับอยู่ น่าจะเป็นเพราะเมื่อวานถูกตีไปอีกรอบ
นอกจากนี้กางเกงขาสั้นของเขายังไม่สามารถปกปิดข้อเท้าของเด็กชายได้จนเผยให้เห็นบาดแผลสีแดงช้ำอีกหนึ่งรอย
ต่อให้เป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่ง
แต่เมื่อได้มาเห็นเด็กชายในสภาพนี้แล้วเธอก็อดรู้สึกสงสารอยู่ในใจไม่ได้
หลินซีเอ่ยปลอบเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ต้องกลัวนะ ฉันเป็นยุวปัญญาชนที่เพิ่งมาใหม่
เธอดูสิมือของฉันก็กำลังเจ็บอยู่เหมือนกัน ฉันทำอะไรเธอไม่ได้หรอก” ฉู่เฉิงจงมองแขนซ้ายที่ถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยเฝือกของหลินซีก่อนที่ร่างของเขาจะผ่อนคลายลงเล็กน้อย
หลินซีมองเด็กตรงหน้า ใบหน้าของเขาสกปรกมอมแมม
แต่ถึงกระนั้นก็ยังมองเห็นดวงตาหงส์คู่หนึ่ง จมูกโด่งเชิดรั้น ริมฝีปากขาวซีด
นอกจากนี้ใบหน้าของเขายังซูบตอบจนดูผอมอย่างน่าสงสาร เสื้อผ้าที่ไม่พอดีตัวก็เต็มไปด้วยรอยปะชุน
แถมยังใส่รองเท้าเหยียบส้นเอาไว้ด้วย “ทำไมเธอถึงมานอนอยู่นี่ล่ะ? ไม่สบายหรือเปล่า?” เมื่อเจอกับคำถามของหลินซี
ฉู่เฉิงที่เอาแต่มองหลินซีด้วยความหวาดระแวงมาโดยตลอดก็เม้มปากแน่น
หลินซีหมุนตัวกลับแล้วแกล้งทำเป็นเปิดตะกร้าออกเล็กน้อย
จากนั้นเธอก็หยิบบิสกิตห่อหนึ่งออกมาจากช่องเก็บของระบบก่อนจะส่งให้เขา “หิวไหม? ฉันให้กิน”
ฉู่เฉิงก้มหน้าลงเล็กน้อยคล้ายกำลังพิจารณาอะไรบางอย่าง
จนกระทั่งหลินซีชักมือกลับมา จู่ๆ ฉู่เฉิงก็ยื่นมือออกมาแล้วคว้าบิสกิตห่อนั้นไปก่อนจะถอยกลับไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว
จากนั้นเขาก็ใช้ดวงตาดุร้ายจ้องมองหลินซี
ชั่วครู่หนึ่งหลินซีคิดว่าเด็กผู้ชายตรงหน้าไม่ใช่เด็กน้อยอ่อนแอ
แต่กลับเป็นสัตว์ป่าดุร้ายตัวหนึ่ง ทันใดนั้นในใจของเธอก็รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมา
ความรู้สึกหลายส่วนที่เคยมีจางหายไปอย่างฉับพลัน ถึงแม้หลินซีจะเป็นคนใจดี
แต่ในเมื่อคนบางคนไม่รู้จักสำนึกบุญคุณเธอก็ไม่อยากฝืนต่อไป
หลินซีลุกขึ้นยืนแล้วพูดออกมาเสียงเรียบ “ที่จริงฉันก็คิดจะให้เธอกินอยู่แล้ว
เธอไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ จะว่าไปฉันก็ช่วยเธอมา 2 ครั้งแล้ว
เธอเองก็น่าจะรู้ว่าฉันไม่ได้มีเจตนาร้าย” เมื่อพูดจบหลินซีก็ไม่ให้โอกาสเขาได้เปิดปากพูดอะไรแล้วรีบหันหลังจากไปทันที
ฉู่เฉิงยังคงมีท่าทางหวาดระแวงอยู่ตลอด กระทั่งแผ่นหลังของหลินซีจากไปไกลจนมองไม่เห็นร่างเขาจึงได้ผ่อนคลายลง
ดูเหมือนฉู่เฉิงจะได้กลิ่นหอมหวนของบิสกิต ท้องของเขาถึงได้เริ่มร้องประท้วงขึ้นมา
เขารีบแกะห่อบิสกิตออกก่อนจะหยิบบิสกิตขึ้นมาไว้ในฝ่ามือแล้วยัดพวกมันเข้าไปในปากหลายชิ้นในครั้งเดียว
เขาขยับปากเคี้ยวอยู่ไม่กี่ครั้งก็รีบกลืนมันลงไปอย่างอดใจไม่ไหว
หลังจากทำอย่างนั้นติดต่อกันอยู่หลายครั้งในที่สุดเขาก็รู้สึกอิ่มท้อง บิสกิต 1
ห่อพร่องไปครึ่งหนึ่ง ฉู่เฉิงจ้องมองบิสกิตพวกนั้นนิ่ง
ในตอนที่เขายังเด็กมากๆเขาเคยกินมันอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นมันมีอยู่แค่ 2 ชิ้น
รสชาติหอมหวานของมันจึงจางหายไปจากความทรงจำของเขานานแล้ว
แต่วันนี้เขากลับได้รับมาตั้ง 1 ห่อเต็มๆ ฉู่เฉิงเก็บบิสกิตที่เหลือเอาไว้ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบากแล้วค่อยๆ
เดินลงเขาไป
หลินซีมีสีหน้าหม่นหมองและยังแฝงไว้ด้วยความเศร้าอยู่บางส่วน เธอดูไม่ร่าเริงเหมือนตอนที่เพิ่งเดินขึ้นเขามาเลยสักนิด
เธอเดินไปตามทางเล็กๆอยู่สักพักก็พบเข้ากับจี้ไฉ่ (พืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง)
จำนวนหนึ่ง มันคือผักป่าที่สามารถพบเห็นได้ค่อนข้างบ่อย
หลินซีจำมันได้จึงก้มลงเก็บมันใส่เข้าไปในตะกร้าใบน้อยจนถึงครึ่งตะกร้าก่อนจะเดินกลับลงไป
ตอนที่ผ่านป่าแห่งนั้นอีกครั้งหลินซีก็กวาดตามองไปรอบๆโดยไม่รู้ตัวแต่เธอก็ไม่เห็นเงาร่างของเด็กคนนั้นอีกแล้ว
เมื่อกลับมาถึงที่พักของยุวปัญญาชนหลินซีก็นำผักป่าที่เก็บมาได้ไปแช่ในน้ำ
พวกยุวปัญญาชนเองก็กลับมาแล้วเช่นกัน
เมื่อหานเหม่ยฟางมองไปเห็นจี้ไฉ่ในหม้อเธอก็รู้แล้วว่าวันนี้จะมีผักกินแล้ว
ดังนั้นเธอจึงหันไปถามหลินซีด้วยรอยยิ้มจนตาหยี “วันนี้เธอขึ้นไปบนเขามาเหรอ?”
หลินซีพยักหน้ายิ้มๆ โจวหลายตี้จึงเดินเข้ามาล้างผักทั้งหลายด้วยตนเอง
หลินซีเองก็ไม่ได้เกรงใจ
เธอเดินขึ้นไปบนเขารอบหนึ่งจึงทำให้บาดแผลบริเวณขาของเธอรู้สึกปวดขึ้นมาเล็กน้อย
ดังนั้นเมื่ออธิบายกับทุกคนเรียบร้อยแล้วเธอจึงกลับไปพักผ่อน
เมื่อกลับมาถึงที่พักหลินซีก็ใส่ยาลงไปบนบาดแผลอีกครั้ง
ตอนนี้บาดแผลของเธอเริ่มหายเป็นปกติแล้วตอนใส่ยาจึงไม่รู้สึกเจ็บปวดมากนัก
แล้วในตอนนั้นในหัวของหลินซีก็มีภาพบาดแผลโดดเด่นสะดุดตาบนข้อเท้าของฉู่เฉิงผุดขึ้นมา
เด็กคนนั้นคงไม่มีทางจัดการกับบาดแผลของตัวเองได้แน่
แล้วเธอก็ไม่รู้ด้วยว่าเขาจะทำอย่างไรกับมัน แต่เมื่อนึกถึงท่าทางที่เด็กคนนั้นปฏิเสธเธอ
หลินซีก็ไม่อยากยุ่งวุ่นวายกับเขาอีก เธอส่ายหน้าไปมาเล็กน้อยแล้วเลิกคิดเรื่องรบกวนจิตใจเหล่านั้น
ตอนนี้เธอต้องไปกินข้าวแล้ว
หลินซีถือชามอาหารเอาไว้ชามหนึ่งแล้วเดินไปที่ห้องครัวก่อนจะพูดกับโจวหลายตี้
“วันนี้ฉันได้รับเสบียงอาหารมาแล้วเลยจะเอามาคืนในส่วนที่กินไปวันนี้กับเมื่อวาน
เธอดูสิว่าพอหรือเปล่า?”
โจวหลายตี้มองอาหารที่กองสุมกันก่อนจะพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มกว้างจนตาหยี
“พอแล้วๆ เดี๋ยวกลับไปฉันจะบอกกับทุกคนเองว่าเธอเอาอาหารมาชดเชยแล้ว” ด้านข้างยังมียุวปัญญาชนชายอยู่อีก
2 คน พวกเขามองไปยังกล่องอาหารที่อยู่ในมือของโจวหลายตี้ก่อนจะสบตากันแล้วยกยิ้มขึ้นมา
จากนั้นพวกเขาก็เข้ามาพูดคุยกับหลินซีอีกหลายประโยค
โจวหลายตี้เป็นคนน่าเชื่อถือ พอถึงตอนกินอาหารเธอก็จงใจพูดขึ้นมาว่าหลินซีนำอาหารของทั้ง
2 วันมาชดเชยแล้ว
คนกลุ่มนั้นจึงได้พูดขึ้นมาด้วยความเกรงใจอยู่หลายประโยคแล้วปล่อยให้เรื่องนี้จบกันไป
พวกยุวปัญญาชนถูกรีดเค้นพลังกายทั้งหมดไปกับการทำงานใช้แรงงานอันหนักหน่วง
เมื่อพวกเขากินข้าวเรียบร้อยแล้วทุกคนจึงแยกไปพักผ่อนตามทางของใครของมัน ส่วนหลินซีเองก็ออกไปเดินเล่นเช่นกัน
ในช่วงที่พระอาทิตย์ตกจนท้องฟ้ากลายเป็นสีแดงเพลิง
หมู่บ้านชิงซานช่างดูเหมือนภาพวาดอันงดงาม มันเงียบเชียบและสงบสุข
อีกทั้งยังมีฝูงนกที่กำลังบินกลับรังขยับปีกไปมาอยู่กลางอากาศ
หลินซีเดินไปยังเขาซวงผิงก็พบเข้ากับบ้านดินโคลนสภาพทรุดโทรมหลังหนึ่งซึ่งมีเด็กชายคนหนึ่งกำลังขดตัวอยู่ที่มุมกำแพง
ฉู่เฉิงนั่งนิ่งอยู่ข้างบ้านดินที่ถูกทิ้งร้าง
ในบ้านมีพ่อของเขาที่ดื่มจนเมามาย
ส่วนในห้องครัวก็ว่างเปล่าจนแม้แต่หนูสักตัวก็ยังไม่มีให้เห็น ดีที่บิสกิตครึ่งหนึ่งที่เขาเหลือเอาไว้ในตอนเช้าตอนนี้เข้าไปอยู่ในท้องของเขาหมดแล้ว
เขาก็ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ควรจะทำยังไงดี หนำซ้ำบาดแผลบนร่างของเขาก็ยังคงเจ็บปวดไม่หาย
ฉู่เฉิงได้แต่จ้องมองไปยังดวงอาทิตย์ที่กำลังคล้อยต่ำหายลับเข้าไปในทิวเขาด้วยสายตาว่างเปล่า
จากที่เขาอยู่ไม่ไกลมีคนคนหนึ่งกำลังจ้องมองเขาอยู่
ฉู่เฉิงเงยหน้าขึ้นมาจนได้เห็นพี่สาวที่มอบบิสกิตให้เขากำลังมองมา ฉู่เฉิงยันกำแพงลุกขึ้นยืนแล้วมองมาทางหลินซีอยู่สักพักก่อนจะรวบรวมความกล้าเดินเข้ามาโค้งคำนับให้หลินซี
“ขอบคุณครับ”
หลินซีไม่รู้สึกถึงความหวาดระแวงและกำแพงป้องกันตัวของเด็กคนนี้อีกต่อไป
ตอนนี้เขาผ่อนคลายไปมากแล้ว
หลินซีคิดว่าตัวเธอต้องทำภารกิจให้สำเร็จจึงยิ้มให้เขาแล้วกวักมือเรียก
ฉู่เฉิงลังเลอยู่เล็กน้อยแต่ก็ยอมเดินไปหาหลินซีแต่โดยดี
เด็กน้อยสูงแค่เพียงหน้าอกของหลินซีเท่านั้น
นับว่ารูปร่างของเขาค่อนข้างเล็กเลยทีเดียว จากนั้นหลินซีก็เอ่ยปากถาม “เธอชื่ออะไร
อายุเท่าไร” ฉู่เฉิงตอบทีละคำถาม หลินซีถามอีก “ทำไมออกมานั่งข้างนอกล่ะ
เธอไม่กลับไปเหรอ?” ฉู่เฉิงก้มหน้าลง
ครั้งนี้เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับไปหลินซีจึงเปลี่ยนคำถาม “กินข้าวแล้วหรือยัง?”
เด็กตัวน้อยเงียบไปสักพักก่อนจะส่ายหัว
หลินซีครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยก่อนจะพูดกับเขาอีกครั้ง
“รอฉันอยู่ที่นี่สักพักนะ” พอพูดจบเธอก็รีบเดินออกไปทันที
เมื่อมาถึงห้องครัวของที่พักยุวปัญญาชน หลินซีก็เอานมผงออกมาชงเล็กน้อยแล้วเทลงไปในกระติกน้ำ
จากนั้นเธอก็หยิบเอาเค้กมาอีก 2 ก้อนแล้วใช้ผ้าห่อเอาไว้
เธอครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะกลับไปที่ห้องเพื่อหยิบยาของตัวเองออกมาแล้วรีบเดินออกจากประตูไป
วังเสี่ยวเจินเห็นว่าหลินซีรีบร้อนออกไปอีกครั้งก็กระตุกยิ้มมุมปากขณะที่ใบหน้าของอวี่หลินหลินฉายแววไม่เข้าใจ
ฉู่เฉิงยังคงยืนอยู่ตรงนั้น
เมื่อมองเห็นเงาร่างของหลินซีกำลังเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วเขาก็เดินออกไปข้างหน้าอีกสองสามก้าว
หลินซียื่นกระติกน้ำร้อนอุ่นๆให้เขา “ฉันให้ แล้วก็เค้กนี่ด้วย เธอไปหาที่กินเถอะ”
ฉู่เฉิงจ้องมองเค้กพวกนั้นด้วยดวงตาเปล่งประกาย
เขาพาหลินซีไปยังที่หลบภัยแห่งหนึ่ง
บริเวณตีนเขาใกล้ๆกับเขาซวงผิงมีบ้านฟางหลังหนึ่งตั้งอยู่
ฉู่เฉิงจัดการเก็บกวาดมันเล็กน้อยพวกเธอก็สามารถนั่งลงไปได้
หลินซีนั่งลงตรงข้ามกับฉู่เฉิงโดยไม่ได้สนใจสภาพรอบตัว
ฉู่เฉิงหยิบเค้กออกมากินจนหมดภายในไม่กี่คำ จากนั้นเขาก็เปิดกระติกน้ำทำให้กลิ่นนมหอมหวลลอยขึ้นมาเตะจมูก
มือของฉู่เฉิงชะงักไปอย่างฉับพลันก่อนที่เขาจะหันมามองหลินซีที่กำลังเท้าคางมองเขายิ้มๆ
“มันคือนมผงที่ฉันชงน่ะ เธอลองชิมดูสิ” ฉู่เฉิงดื่มลงไปถึงครึ่งกระติกก่อนจะปิดฝาแล้วหันไปถามหลินซีอย่างตรงไปตรงมา
“ทำไมเธอถึงเอามาให้ฉันกินล่ะ ทำไมถึงได้ดีกับฉันขนาดนี้? เธอต้องการอะไรกันแน่?”
หลินซีคาดไม่ถึงว่าเด็กผู้ชายอายุน้อยแค่นี้จะมีความคิดความอ่านไม่น้อยตามอายุ
เธอคิดอยู่สักพักก่อนจะตอบเขากลับไป “เธอเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆคนหนึ่ง จะมีอะไรให้ฉันหลอกใช้ได้ล่ะ?” ฉู่เฉิงคิดอยู่นานแต่เขาก็คิดไม่ออก
แต่ถึงอย่างนั้นสายตาของเขาก็ยังมีแววระวังตัวอยู่หลายส่วน
หลินซีลุกขึ้นยืนแล้วตบกางเกงเล็กน้อยก่อนจะหยิบยาออกมายื่นให้ฉู่เฉิง “นี่เป็นยา
ล้างแผลให้สะอาดแล้วทาลงไป พอกินนมที่อยู่ในกระติกหมดแล้วก็อย่าลืมเอากระติกไปคืนฉันด้วยล่ะ”
พูดจบเธอก็เดินจากไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง
ฉู่เฉิงมองเงาร่างของหลินซีค่อยๆเลือนหายไปในความมืดพร้อมกำยารักษาแผลที่อยู่ในมือเอาไว้แน่นขณะที่สีหน้าของเขาฉายแววหวั่นไหว
ความมืดมิดค่อยๆคืบคลานเข้าปกคลุมหมู่บ้านเล็กๆ หลินซีอาศัยแสงอันน้อยนิดเดินกลับไปยังที่พักของ
ยุวปัญญาชน แต่แล้วเสียงเย็นๆเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา
“ภารกิจต่อเนื่อง-----ได้รับความรู้สึกดีจากฉู่เฉิง อัตราความสำเร็จ 7% ได้รับรางวัลเหรียญทอง 5 เหรียญ”
หลินซีรู้สึกไม่ค่อยพอใจกับมันเท่าไร ตราบใดที่เธอยังไม่สามารถปลดล็อคร้านค้าระบบได้เหรียญทองพวกนั้นก็เป็นแค่ของไร้ประโยชน์เหมือนดอกไม้ในกระจกและพระจันทร์ในน้ำเท่านั้นแหละ
ว่าแล้วระบบก็พูดขึ้น “พอบรรลุภารกิจได้ถึง 10% เธอก็จะปลดล็อคร้านค้าระบบได้แล้ว”
หลินซีรู้สึกมีความสุขขึ้นมาและเฝ้ารอที่จะได้ปลดล็อคร้านค้าระบบเร็วๆ เธอจะได้ซื้อของให้สมใจอยากสักที
ท้องทุ่งกลายเป็นสีเหลืองทอง
เหล่าชาวนาต่างมองไปยังพืชพรรณที่ใกล้จะสุกงอมเต็มทีด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
หลายวันมานี้ทุกคนยุ่งกันมาก นอกจากคนทำอาหารที่จะกลับมาก่อนเวลาเล็กน้อยแล้ว
คนอื่นๆก็จะอยู่ในทุ่งตลอดทั้งวัน
หลินซีรับหน้าที่ก่อไฟและส่งอาหาร
ในถังไม้ที่เธอถืออยู่ต่างอัดแน่นไปด้วยอาหารทำให้หลินซีต้องออกแรงยกไม่น้อยขณะเดินไปตามคันนาขรุขระ
เมื่อมาถึงที่ทำงานของพวกยุวปัญญาชน หลินซีไม่ต้องเอ่ยปากทักทาย ทุกคนก็เข้ามารุมล้อมเธอทันที
พวกเขาต่างก็ค้นหากล่องข้าวของตัวเองให้วุ่นไปหมดแล้วค่อยไปหาสถานที่เหมาะๆนั่งกินอย่างหิวโหย
สิ่งที่ทุกคนกินเข้าไปเป็นเพียงน้ำซุปใสๆที่ไม่สามารถประทังความหิวได้
แต่เรื่องนี้พวกเขาชินชากับมันไปแล้ว
เมื่อทุกคนกินข้าวเรียบร้อยแล้วหลินซีก็แบกถังไม้เดินกลับไปอีกครั้ง
เธอยังต้องรีบไปกินข้าวของตัวเอง จากนั้นก็ค่อยไปจุดไฟต้มน้ำ
ทุกคนเหนื่อยมาทั้งวันย่อมต้องการอาบน้ำดีๆสักหน่อย
ไม่มีคอมเม้น