บทที่ 3
พบหน้า
หลินซีนั่งอยู่ภายในห้องพัก
หลังจากที่จิตใจของเธอสงบลงแล้วเธอก็ตัดสินใจออกไปเดินเล่นสักหน่อย
หมู่บ้านชิงซานนับว่าไม่เสียชื่อ บริเวณโดยรอบโอบล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวขจีจนเกิดเป็นทัศนียภาพอันงดงาม
ทั้ง 2
ด้านของหุบเขาที่อยู่ไกลออกไปก็เต็มไปด้วยสีเขียวชอุ่มจนชวนให้คนมองรู้สึกสบายใจ
ในแปลงเพาะปลูกที่อยู่ด้านล่างหุบเขามีเหล่าชาวนากำลังก้มหน้าทำงานอย่างขยันขันแข็ง
คันนาที่ตัดผ่านกันไปมาอยู่ท่ามกลางทุ่งนาต่างก็มีดอกไม้ป่าที่เธอไม่รู้ชื่อเบ่งบานชูช่อโบกพลิ้วไปตามสายลม
ถ้าเป็นการมาพักผ่อนในวันหยุด มันคงเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยทีเดียว
หลินซีเดินไปตามถนนลูกรังอย่างช้าๆ
แต่แล้วหูของเธอก็ได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กกลุ่มหนึ่งดังขึ้นมา หลินซีลังเลอยู่เล็กน้อยว่าเธอจะเข้าไปดูดีหรือไม่
ทว่าจู่ๆเธอก็ได้ยินเสียงระบบดังขึ้น “บุคคลเป้าหมายปรากฏตัวแล้ว
จงบรรลุภารกิจแรก---ไกล่เกลี่ย”
หลินซีตกตะลึงขึ้นมาทันที
จากนั้นเธอก็เดินตรงไปยังที่มาของเสียงก่อนจะพบว่ามีเด็กๆ 4 คนกำลังต่อสู้กันอยู่
จริงๆแล้วถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเด็ก 3 คนกำลังกดเด็กผู้ชายคนหนึ่งลงไปกับพื้นต่างหาก
นี่มันเป็นการรังแกกันฝ่ายเดียวชัดๆ “หยุดตีเขานะ! พวกเธอรีบหยุดเดี๋ยวนี้เลย”
เสียงของหลินซีทำให้เด็กๆที่กำลังรังแกคนอื่นอยู่ตกใจจนต้องหยุดมือโดยไม่รู้ตัว
เมื่อพวกเขามองเห็นหลินซีพวกเขาก็รู้สึกงุนงงขึ้นมาเล็กน้อย
แต่เด็กที่ถูกกดอยู่บนพื้นกลับรีบลุกขึ้นมาเตะเข้าที่เด็กชายหัวโจกจนทำให้เด็กชายคนนั้นเซถลาออกไปเด็กผู้ชายอีก
2 คนที่อยู่ด้านหลังก็ช่วยกันจับเขาเอาไว้ ก่อนที่เด็กชายที่ถูกตีจะตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาจากพื้นแล้วหันหน้าวิ่งหนีไป
เด็กผู้ชายทั้งสามคนต่างถลึงตามองหลินซีแล้วหันกลับไปมองเด็กชายที่วิ่งออกไปไกลอีกครั้ง
เมื่อคิดว่าคงตามไม่ทันแล้วพวกเขาก็ได้แต่จากไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
หลินซีจ้องมองไปยังกลุ่มเด็กผู้ชายที่ทะเลาะกันอยู่เมื่อครู่
พวกเขาน่าจะมีอายุราวๆ 10 ขวบ แต่การต่อสู้อันดุเดือดเมื่อครู่นี้ดูไม่ค่อยเหมาะสมกับอายุของพวกเขาเลย
เด็กชายที่ถูกรุมตีอยู่เมื่อครู่นี้วิ่งออกไปอย่างรวดเร็วจนหลินซีมองเห็นเพียงใบหน้าแดงก่ำและรอยเลือดที่มุมปากของเขา
ถึงแม้จะช่วยคนเอาไว้ได้แล้วแต่ในใจหลินซีก็ยังรู้สึกหนักอึ้ง
ในช่วงชีวิตของหลินซี เธอไม่เคยต้องพบเจอกับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อนเลย
ตั้งแต่เด็กจนโตเธอก็เป็นเด็กดีมาโดยตลอด
และไม่ว่าจะเป็นการเข้าเรียนหรือการหางานก็เป็นไปอย่างราบรื่น
ชีวิตของเธอล้วนดำเนินไปอย่างสะดวกสบายและสงบสุข
ดังนั้นการต่อสู้ทะเลาะวิวาทจึงเป็นสิ่งที่ไกลตัวเธอมาโดยตลอด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทะเลาะวิวาทของเด็กผู้ชายตัวเล็กแค่นั้น
นั่นไม่ใช่การเล่นกันแน่นอน เพราะพวกเขาลงมือกันอย่างรุนแรงเหลือเกิน
หลินซีไม่มีอารมณ์จะเดินเล่นต่อไปแล้วเธอจึงเดินกลับไปอย่างช้าๆ
แต่เสียงของระบบก็ดังขึ้นมาข้างหูของเธอ “ยินดีด้วย ภารกิจแรกของเธอสำเร็จแล้ว
เธอจะได้รับรางวัลภารกิจ : เหรียญทอง 1 เหรียญ
นอกจากนี้หลังจากภารกิจแรกสำเร็จแล้วเธอยังจะได้รับโอกาสในการสุ่มจับรางวัล 1
ครั้งด้วย แจ้งเตือนระบบ : บุคคลเป้าหมายของเธอก็คือฉู่เฉิง
เด็กผู้ชายที่ถูกตีเมื่อกี้นี้”
หลินซีรู้สึกยินดีขึ้นมาทันใด จากนั้นตรงหน้าเธอก็มีหน้าจอปรากฏขึ้น แถมบนหน้าจอนั้นยังมีรูปครึ่งตัวของเธออยู่อีก
1 รูปด้วย และด้านล่างรูปครึ่งตัวนั้นก็มีรูปเหรียญทองสีเหลืองทองแวววาวปรากฏขึ้นมา
1 เหรียญ หลินซีเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย “เหรียญทองนี้สามารถเอาไปทำอะไรได้บ้าง?”
เสียงระบบเริ่มอธิบาย “ทุกครั้งหลังจากภารกิจสำเร็จเธอจะได้รับเหรียญทองจํานวนแตกต่างกันเป็นรางวัล
เหรียญทองสามารถใช้ซื้อทรัพยากรในร้านค้าของระบบได้ และทรัพยากรเหล่านี้ยังสามารถนำมาใช้ในชีวิตจริงได้ด้วย
คำชี้แจง : ทรัพยากรที่ปรากฏอยู่ในร้านค้าระบบล้วนสอดคล้องกับยุคสมัยปัจจุบัน
เธอสามารถใช้มันได้อย่างสบายใจ” ดีจริงๆ!
หลินซีกำลังกังวลกับชีวิตในปัจจุบันของเธออยู่พอดี ในฐานะที่เป็นคนสมัยใหม่คนหนึ่ง
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสภาพความเป็นอยู่อันยากลำบากก็ทำให้เธอปรับตัวได้ยากจริงๆ
“ซื้อตอนนี้เลยได้ไหม?” หลินซีถามออกไปด้วยความหวัง แต่เสียงระบบที่แสนเย็นชากลับดังขึ้นมา
“โทษทีนะ ตอนนี้ระดับของเธอยังไม่สามารถปลดล็อคร้านค้าระบบได้”
“...” หลินซี
นี่ล้อฉันเล่นใช่ไหมเนี่ย?
หลินซีพยายามข่มกลั้นความโกรธแล้วถามต่อไป “รางวัลจากการสุ่มคืออะไร?” จากนั้นบนหน้าจอก็ปรากฏตาราง 9 ช่องขึ้นมาอันหนึ่ง
“เชิญเลือกมา 1 ช่องตามต้องการ” หลินซีกดลงไปบนนั้นตามที่ระบบพูดออกมา
จากนั้นบนหน้าจอก็ปรากฏคำว่า ‘ของขวัญ’ ขึ้นมา
“โชคดีแฮะ!” ระบบทำการอธิบาย
“ถ้าเลือกรับของขวัญก็แค่กดลงไปก็ได้แล้ว” หลินซีกวาดตามองบริเวณรอบๆ
ถึงจะไม่มีใครอยู่ตรงนี้แต่ถ้ามีห่อของขวัญปรากฏขึ้นมากลางอากาศคงน่าตกใจพิลึก
หลินซีไม่ได้สนใจบาดแผลที่อยู่บนขา
เธอค่อยๆเดินกลับไปยังที่พักของยุวปัญญาชนก่อนจะเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูให้เรียบร้อย
หลังจากมั่นใจว่าปลอดภัยแล้วหลินซีก็เลือกกดรับของขวัญ เมื่อเธอเปิดออกดูก็พบว่าในห่อของขวัญมีแต่ของกินจำพวกบิสกิต
เค้ก นมผง และผลไม้ หลินซีนับจำนวนพวกมันได้ทั้งหมด 10 ห่อ
มันสามารถทำให้เธออิ่มท้องไปได้ระยะหนึ่งเลยทีเดียว
แต่แล้วเธอก็รู้สึกกังวลขึ้นมาอีกครั้ง ที่นี่ไม่มีตู้พร้อมกุญแจล็อคเอาไว้เก็บของ
แล้วเธอจะเอาของพวกนี้ไปวางไว้ที่ไหนล่ะ?
จากนั้นเสียงเย็นๆของระบบก็ตอบกลับมาด้วยความเมตตา “เธอจะเอามันมาเก็บไว้ที่ฉันก็ได้
ฉันมีช่องเก็บของที่สามารถเก็บอาหารของเธอได้โดยไม่เสียคุณภาพ”
หลินซีตาเป็นประกาย นี่มันดีสุดๆไปเลย!
หลินซีเอาอาหารทั้งหมดฝากไว้ในระบบอย่างมีความสุขแล้วเหลือเค้กเอาไว้ห่อหนึ่งก่อนที่เธอจะแกะมันออกแล้วกินเข้าไปทันที
เธอกินอาหารเที่ยงของวันนี้ไม่ค่อยอิ่มเท่าไร จริงๆแล้วเธอกินไม่ลงต่างหาก!
พวกมันแตกต่างจากขนมปังธัญพืชที่เธอเคยรู้จักอย่างสิ้นเชิงจนชวนให้รู้สึกระคายคอ
หลังจากได้รับรางวัลมาแล้วหลินซีก็เลิกขัดขืนภารกิจอีกต่อไป ใช่แล้วล่ะ
ตอนที่เธอถูกส่งมาที่นี่เธอรู้สึกเสียใจอยู่นิดหน่อย
ชีวิตอันยากลำบากหลังจากนั้นและร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บรวมไปถึงการถูกปฏิเสธจากเพื่อนร่วมห้องทำให้เธอเริ่มรู้สึกต่อต้านระบบ
แต่ตอนนี้เธอรู้สึกมั่นใจขึ้นมาแล้ว แถมเธอยังมีอาหารและน้ำดื่ม
ดังนั้นเธอจะต้องสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นี่และสามารถทำภารกิจจนกลับไปยังยุคสมัยของตัวเองได้อย่างแน่นอน
ผู้นำระบบมองท่าทางของหลินซีแล้วแอบดูถูกเธออยู่ในใจ ยัยเด็กนี่ไม่รู้จักโตจริงๆ
แค่ของกินนิดหน่อยก็พอใจแล้ว
หลินซีไม่สนใจความคิดของระบบ
เมื่อเติมท้องจนอิ่มแล้วเธอก็เริ่มเก็บกระเป๋าของตัวเอง ภายในห้องมีตู้เล็กๆอยู่ 3
ตู้แบ่งกันคนละตู้ ทั้ง 3 ตู้ต่างก็ไม่มีกลอนล็อค แต่มีอยู่ 2
ตู้ที่เขียนชื่อเอาไว้แล้ว
หลินซีเลือกอันที่ยังไม่ได้เขียนชื่อก่อนจะทำความสะอาดมันอย่างง่ายๆแล้วนำเสื้อผ้ากับผ้าห่มของตัวเองยัดเข้าไปในนั้น
จากนั้นเธอก็เดินเข้าไปที่ห้องครัวอีกครั้ง
ภายในห้องเป็นเตาดินเผาที่หลินซีใช้ไม่เป็น
ดังนั้นความปรารถนาที่จะจุดไฟต้มน้ำอาบจึงแตกสลายลงไปในพริบตา
แต่ขณะที่หลินซีกำลังเดินเตร็ดเตร่ไปมาอยู่ภายในห้องครัว วังเสี่ยวเจินก็เดินร้องไห้กลับมา
พวกเธอต่างก็เป็นยุวปัญญาชนที่เพิ่งมาใหม่จึงไม่เคยทำไร่ทำนามาก่อน
ถังเจี้ยนกั๋วจะให้คนที่อยู่ในหมู่บ้านพายุวปัญญาชนเหล่านั้นไปทำงานด้วย ชาวบ้าน 1
คนจะทำการสอนยุวปัญญาชน 1 คน คนที่เป็นผู้ดูแลวังเสี่ยวเจินก็คือน้าเฉียน
เธอทำงานได้อย่างคล่องแคล่วและมีนิสัยใจร้อนอยู่นิดหน่อย
เธอสั่งสอนวังเสี่ยวเจินมาหลายรอบแล้วแต่วังเสี่ยวเจินก็ยังทำไม่ได้เสียที
ดังนั้นเมื่อต้องทำงานจนหัวหมุนแล้วยังต้องมาตามเช็ดตามล้างเรื่องต่างๆแทนวังเสี่ยวเจินอีกเธอจึงรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้จนถึงกับต่อว่าวังเสี่ยวเจินไปหลายประโยค
วังเสี่ยวเจินเดิมทีก็รู้สึกไม่พอใจอยู่แล้ว
เมื่อทำงานมาได้ครึ่งค่อนวันเธอก็มีเหงื่อไหลเต็มกาย
ยิ่งถูกคนอื่นต่อว่าจุดบกพร่องของตนเองในใจของเธอก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี
เธอจึงโยนงานทุกอย่างทิ้งแล้วนำอุปกรณ์ทำไร่ทำสวนกลับมา
เธอเดินพุ่งตรงเข้าไปในห้องก่อนจะปิดประตูเสียงดังแล้วปล่อยโฮออกมา
หลินซีไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร แต่เธอก็ไม่ได้คิดจะไปวุ่นวายกับวังเสี่ยวเจิน
หลินซีจำได้ว่าตอนที่ตัวเองเดินผ่านเธอไปวังเสี่ยวเจินมองมาที่เธอด้วยสายตารำคาญ
ถ้าทั้งสองคนพูดคุยกันขึ้นมาคงมีแต่จะทะเลาะกันแน่ๆ
จากนั้นไม่นานหานเหม่ยฟางก็รีบร้อนกลับมาแล้วเคาะประตูห้องพัก
“วังเสี่ยวเจิน รีบเปิดประตูเร็วเข้า มีอะไรก็ค่อยๆพูดค่อยๆจากันสิ”
เธอเคาะประตูอยู่นานจนวังเสี่ยวเจินเดินมาเปิดประตูพร้อมดวงตาแดงก่ำ
หานเหม่ยฟางเดินเข้าไปในห้องก่อนจะปิดประตูลงอีกครั้ง ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่ในห้องพักใหญ่
แม้ว่าเสียงของพวกเธอจะไม่ได้ดังนัก แต่หลินซีที่อยู่นอกห้องก็ยังได้ยินบางประโยคที่พวกเธอคุยกัน
หลินซีมองไปยังประตูไม้บางเฉียบแล้วถอนหายใจออกมา ประตูนี้มันเก็บเสียงไม่ดีเลย
ในที่สุดประตูห้องก็เปิดออกมาอีกครั้ง หานเหม่ยฟางมองไปยังหลินซีที่กำลังยืนอยู่ในสวนอย่างไม่สนใจอะไรแล้วยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
“น้องหลิน เข้าไปในห้องเถอะ ช่วงนี้เสี่ยวเจินอารมณ์ไม่ดี
พวกเธออยู่ด้วยกันก็ดูแลเธอหน่อยแล้วกัน” หลินซีได้ยินดังนั้นก็ยกยิ้มเจื่อนกลับไป
แต่ในใจของเธอกลับร่ำร้องออกมา ยัยนั่นไม่เห็นหัวฉันด้วยซ้ำ ฉันพูดอะไรไปก็เปล่าประโยชน์
แต่หลินซีก็ฉวยโอกาสนี้รั้งตัวหานเหม่ยฟางเอาไว้ก่อนจะให้เธอช่วยสอนว่าต้องจุดเตาถ่านอย่างไร
ด้วยการชี้นำของหานเหม่ยฟางทำให้หลินซีสามารถจุดเตาถ่านต้มน้ำได้ในที่สุด
ภายในห้องไม่มีใครอยู่แล้วหลินซีจึงปิดประตูหน้าต่างให้สนิท ถึงมือข้างหนึ่งจะไม่สามารถขยับเขยื้อนได้
แต่หลินซีก็ยังพยายามที่จะชำระล้างร่างกายของตัวเอง
ขณะที่หลินซีกำลังเช็ดผมของตัวเองอยู่ยุวปัญญาชนจำนวนหนึ่งก็กลับมาแล้ว
วังเสี่ยวเจินทำหน้าข่มขู่แล้วมองหลินซีด้วยความโกรธจนหายใจหอบ
ส่วนอวี่หลินหลินก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากทักทายหลินซีก่อน “นี่ อาบน้ำแล้วเหรอ?”
“ใช่สิ
ฉันรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลตั้งหลายวันกว่าจะได้กลับมาก็เลยต้องทำความสะอาดสักหน่อย”
หลินซีตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มพลางหยิบเสื้อผ้าสกปรกที่เธอถอดออกโยนเข้าไปในตะกร้า
“เธอยุ่งมาทั้งวันไม่เหนื่อยเลยเหรอ? ยังมีกะจิตกะใจจะไปคุยเล่นกันอีก
คนอื่นเขาไม่มีงานก็เลยได้อาบน้ำสบายใจเฉิบไงล่ะ”
วังเสี่ยวเจินหันไปพูดกับอวี่หลินหลินด้วยความไม่พอใจ
ประโยคที่เธอพูดออกมาทำให้หลินซีและอวี่หลินหลินหน้าเปลี่ยนสีไปทันที
หลินซีไม่ชอบมีเรื่องกับใครมาแต่ไหนแต่ไร
แต่ในเมื่ออีกฝ่ายมาท้ารบถึงที่แล้วเธอก็จะไม่เกรงใจอีกต่อไป
“ฉันบาดเจ็บก็เลยไม่ได้ไปทำงาน นี่เธอจะอิจฉาแม้แต่เรื่องแบบนี้น่ะเหรอ? ฉันเพิ่งมาถึงวันแรกก็ยังไม่เคยหาเรื่องอะไรเธอเลย
แล้วเธอจะมาพูดจาประชดประชันกันทำไม? คิดว่าฉันเอาเปรียบเธออย่างนั้นเหรอ?”
หลินซีจ้องมองวันเสี่ยวเจินด้วยความโกรธ
ส่วนวังเสี่ยวเจินเองก็ไม่เกรงใจเช่นกัน เธอตอบโต้กลับมาทันที
“ไปทำงานไม่ได้แล้วจะทำอย่างอื่นไม่ได้หรือไง ต้มน้ำ ทำกับข้าว เก็บกวาดห้อง
เรื่องพวกนี้ก็ทำได้นี่นา!”
“ฉัน…” หลินซีกำลังจะตอบโต้กลับไปแต่อวี่หลินหลินก็ห้ามเธอเอาไว้เสียก่อน
“หลินซี เธอไม่ต้องพูดอะไรหรอก วันนี้วังเสี่ยวเจินอารมณ์ไม่ค่อยดี
เธอก็ยอมๆเขาหน่อยเถอะ”
หลินซีรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก
“เธออารมณ์ไม่ดีฉันก็ต้องกลายเป็นที่ระบายอย่างนั้นเหรอ หมายความว่าอย่างนี้งั้นสิ? ฉันด้อยกว่าเธอหรือไง?”
อวี่หลินหลินคาดไม่ถึงว่าจู่ๆหลินซีที่มักมีสีหน้ายิ้มแย้มอยู่เสมอจะบ้าคลั่งขึ้นมาเธอจึงได้แต่อึกอักพูดไม่ออก
การทะเลาะกันของพวกเธอดึงดูดสายตาของยุวปัญญาชนคนอื่นไม่น้อย
หานเหม่ยฟางเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดเธอจึงออกหน้าต่อว่าวังเสี่ยวเจิน
“วังเสี่ยวเจิน เธอก็เพิ่งมาถึงได้ไม่กี่วัน
แต่ถ้าไม่ทะเลาะกับคนนู้นก็ไปตีกับคนนี้ วันนี้เธอถูกตำหนิก็เป็นเพราะตัวของเธอเอง
อย่าเอาความโกรธไปลงกับคนอื่นสิ เธอไปคิดเอาเองดีๆเถอะ ถ้ายังทะเลาะกันอยู่แบบนี้อีกฉันจะไปรายงานท่านผู้แทนแล้ว”
เมื่อพูดจบเธอก็ไม่สนใจวังเสี่ยวเจินที่กำลังน้ำตาไหลพรากอีกต่อไปแล้วจัดการลากหลินซีเข้าไปในห้องของพวกเธอ
หลิวเสียและโจวหลายตี้อยู่ในห้องทั้งสองคนและยังรับรู้เรื่องการทะเลาะกันของพวกเธออีกด้วย
ทั้งสองคนพากันปลอบหลินซีอยู่หลายประโยค และเมื่อเห็นว่าหลินซีอารมณ์ดีขึ้นมาแล้วทุกคนก็โล่งใจ
จากการบอกเล่าของหานเหม่ยฟางทำให้หลินซีเข้าใจว่าวันนี้หลังจากที่วังเสี่ยวเจินถูกน้าเฉียนต่อว่าไปเสียยกใหญ่
เธอก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากจนถึงกับแบกอุปกรณ์ทำไร่กลับมาทันที
น้าเฉียนเองก็ไม่พอใจเช่นกัน เธอจึงนำเรื่องนี้ไปฟ้องผู้แทนถัง ดังนั้นปริมาณงานของวังเสี่ยวเจินจึงถูกหักไปครึ่งวัน
แล้วยังต้องไปขอโทษน้าเฉียนอีกด้วย เมื่อความโกรธอัดแน่นอยู่เต็มท้องจนแทบระเบิด
พอเธอกลับมาก็เลยไประบายเอากับหลินซี
ไม่มีคอมเม้น