Aa
Aa
Aa

นับว่าเป็นโชคดีที่หลังจากทำการบอกกล่าวฟ้าดินแล้วไม่เจอเหตุการณ์อะไร สองคนสำรวจโถงใหญ่เสร็จก็เดินต่อเข้าไปสำรวจด้านใน โถงทางเดินยาวเหยียดประดับคบไฟนิรันดร์เอาไว้ เช่นเดียวกับบริเวณโถงหน้า ตลอดทางเดินแบ่งซอยเป็นห้องเล็ก ๆ หลายสิบห้อง พวกเขาเข้าไปสำรวจละทีห้อง


ถึงจะบอกว่าราบรื่นดี แต่ทุกห้องที่นี่ล้วนมีโลงศพวางอยู่ท่ามกลางข้าวของเครื่องใช้ที่ระเกะระกะบนพื้น บ้างหนึ่งโลงบ้างก็สองโลง จงจิ่งอี๋สำรวจรอบโลงหนึ่งรอบขณะที่สวีเซี่ยสำรวจรอบ ๆ ห้อง แน่นอนว่าไม่พบอะไรที่เกี่ยวข้องกับคดีในครั้งนี้มากนัก เว้นก็แต่จงจิ่งอี๋ที่ตื่นเต้นกับประวัติเจ้าของโลงที่สลักอยู่ด้านนอก


เดินมาครึ่งค่อนวันพวกเขาไม่พบเงาของโต้วฟ่านเซิงหรือหวังอันเลยแม้แต่น้อย ทั้งคู่ไล่ดูทีละห้องจนครบอย่างรวดเร็ว จงจิ่งอี๋มองเห็นความร้อนใจในสายตาของอีกฝ่าย จึงไม่อาจชักช้ายืดยาดจดข้อมูลพวกนั้นทีละส่วน ทำได้เพียงจดจำข้อมูลที่แกะสลักพวกนั้นคร่าว ๆ เอาไว้


ที่สุดปลายทางเดินมีประตูบานหนึ่งตั้งตระหง่าน สวีเซี่ยดันบานประตูเข้าไปด้านใน กวาดดูด้านในรอบหนึ่งก่อนจะส่งสัญญาณให้คนข้างหลังตามเข้ามา


ห้องที่สองนี้ขนาดใหญ่พอ ๆ กับห้องแรกและมีการจุดโคมไฟนิรันดร์เช่นเดียวกัน จะแตกต่างกันที่ลวดลายบนฝาผนัง และที่ตรงกลางห้องนั้นมีตั่งขนาดใหญ่วางตั้งอยู่


สวีเซี่ยเดินกวาดมองรบห้องหนึ่งรอบก่อนจะหยุดสายตาที่ตั่งตรงหน้า มันวางบนแท่นสูงมีบันไดขึ้นลงสี่ด้าน ที่หัวบันไดมีรูปปั้นของมังกรอยู่ เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ๆ ก็พบว่ามังกรทั้งตัวคือขั้นบันไดที่ทอดยาวขึ้นด้านบน ดูแล้วคนคนนี้จะต้องมั่นอกมั่นใจมากทีเดียวว่าเป็นลูกรักของสวรรค์


เขาก้าวเท้าเดินขึ้นไปด้านบน ทุกย่างก้าวค่อย ๆ ทำให้สวีเซี่ยมองเห็นตั่งตัวนั้นชัดเจนขึ้น มันน่าจะทำมาจากทองคำทั้งหลัง ปูทับด้วยผ้าขนสัตว์ที่สีซีดไปตามกาลเวลา ชายหนุุ่มชะโงกหน้ามองก่อนจะชะงักไปครู่หนึ่ง


หัวใจของเขาเต้นตึกตัก ลมหายจปั่นป่วนขาดห้วง อารามตกใจเพราะภาพตรงหน้าทำให้เกือบจะกรีดร้องออกมา ต้องขอบคุรการฝึกฝนตนเองมาตลอดหลายปีนี้ สวีเซี่ยดึงสติกลับมาได้อย่างรวดเร็วและค่อย ๆ ปรับลมหายใจจนกลับมาเป็นปกติ เขาเดินเข้าไปใกล้ตั่งมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อมองให้ชัดเจน


หญิงสาวคนหนึ่งกำลังนอนนิ่งอยู่บนนั้น เธอมีใบหน้างดงาม ริมฝีปากแดงฉานราวกับสีเลือด แม้แต่มือก็ยังดูอ่อนเยาว์ราวกับมีชีวิตอยู่จริง ทว่าในสถานที่เช่นนี้นอกจาก ‘ศพ’ แล้ว เขาก็คิดไม่ออกว่าใครจะรสนิยมแปลกพิสดารขนาดมานอนเล่นในสุสาน


“หรือว่านี่คือ…เจ้าของสุสานแห่งนี้”


“ถูกต้อง งดงามมากใช่หรือไม่”


สวีเซี่ยกำลังจะพยักหน้าตอบรับ แต่แล้วก็จับความผิดปกติได้ ตั้งแต่เข้ามาในห้องนี้อีกคนไม่ได้พูดกับเขาเลย น้ำเสียงและวิธีการพูดจาก็แปลกไปจากปกติ และที่สำคัญก็คือเสียงฝีเท้าที่ขาดหายไป เขาเพิ่งจะนึกได้ว่าตั้งแต่เข้าห้องโถงมามีเสียงฝีเท้าของเขาเพียงคนเดียว


เพราะประสาทเครียดเกร็งมากเกินไปเลยพลาดจุดเล็ก ๆ ง่าย ๆ เช่นนี้ ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงแรงกดดันจากร่างข้างกาย ขณที่ฝ่ามือข้างหนึ่งค่อย ๆ เอื้อมไปหยิบแผ่นยันต์ที่จงจิ่งอี่ให้มา คนก็ค่อย ๆ หันไปด้านข้าง


จังหวะนั้นทุกอย่างเกินขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงชั่วเสี้ยววินาที สวีเซี่ยยังไม่ทันได้มองเห็น ‘สิ่งนั้น’ ก็โดนแรงสายหนึงโถมทับเข้าใส่ กดร่างของเขาลงไปกับตั่งเตียง ทับศพบนนั้นอย่างแรงจนได้ยินเสียงดัง ‘กร๊อบ’


…เหมือนว่ากระดูกจะแตกเสียแล้ว


ฝ่ามือที่ทั้งแข็งและเรี่ยวแรงมหาศาลนั้นกักขังสวีเซี่ยเอาไว้ในอ้อมกอด ทั้งคู่ประจันหน้ากัน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ต่อสู้กับวิญญาณตัวต่อตัวเช่นนี้ และยังเป็นครั้งแรกที่เปลี่ยนมุมมองของเขาต่อสิ่งที่เรียกวิญญาณไปโดยสิ้นเชิง


ใครจะรู้ว่าวิญญาณจะสวยสะพรั่งราวกับถอดแบบมาจากกายเนื้อของตัวเองที่นอนอยู่บนตั่งเตียงขนาดนี้


.


.


.


“อุก…แค่ก!” จงจิ่งอี๋ที่ตกลงกระแทกพื้นอย่างจังคลำบั้นท้ายตนเองป้อย ๆ ฝุ่นดินที่ตลบคลุ้งเข้าจมูกเข้าตา และไม่รอให้เธอได้มีเวลาพักหรือเตรียมตัว จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องเกรี้ยวกราดดังขึ้น ทิศทางของเสียงมาจากเบื้องหน้า และมันกำลังพุ่งตรงมายังทางนี้


“แม่มันเถอะ!”


คนสบถด่าออกมาได้อย่างไม่ต้องรักษามาดอีกต่อไป คิ้วเรียวขมวดมุ่นด้วยความเครียดและวิตกกังวล เธอไม่มั่นใจในฝีมือการต่อสู้ของตัวเองมากนัก กับคนที่พยายามหนีมาตลอดและยอมเรียนวิชาเพียงอย่างผิวเผินเพียงเพื่อให้คนที่บ้านเลิกจู้จี้กับเธอ ไม่คาดคิดว่าจะต้องมาเจอกับอะไรเช่นนี้


จงจิ่งอี๋เอื้อมมือแตะแผ่นยันต์ ตั้งท่าเตรียมร่ายอาคมใส่เจ้าสิ่งนั้นเมื่อมันปรากฎกาย นัยน์ตายามนี้ค่อย ๆ หดเล็กลงจนแทบจะตรงดิ่งเป็นเส้นตรง เพ่งสมาธิจดจ่อไปยังทิศทางเบื้องหน้า…


ก๊าซซซซซ!!!


เสียงโหยหวนนั้นดังราวกับว่ามันกรีดร้องอยู่ข้างใบหู ทว่าอึดใจต่อมาก็ทุกอย่างก็เงียบสงบลงจนน่าแปลกใจ สิ่งที่คาดว่าจะเกิดกลับไม่เกิด จงจิ่งอี๋ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี


เธอเพ่งมองในความมืดและรอต่ออีกสองสามนาที ทว่าทุกอย่างยังคงเงียบสงบเหมือนเดิม…


จงจิ่งอี๋ถอนหายใจเฮือกก่อนจะเริ่มสำรวจสถานที่ เมื่อครู่นี้ตอนกำลังที่สวีเซี่ยเปิดประตูอยู่นั้นเธอได้ยินเสียงครืดเบา ๆ มาจากหนึ่งในที่เรียงรายตามโถงทางเดิน ด้วยความสงสัยและคาดหวังเล็ก ๆ ว่าอาจจะเป็นหนึ่งในสองคนที่หายไป จึงเดินย้อนกลับไปสำรวจดู


เสียงครืดนั่นดังติดต่อกันตามจังหวะการเปิดประตูของสวีเซี่ย ตอนแรกก็คิดว่าหูแว่วไปเอง ทว่าเสียงนั้นกลับเริ่มชัดเจนขึ้น และหยุดลงพร้อมกับสวีเซี่ยดันประตูจนพอประมาณ และกำลังแนบกายสำรวจด้านในรอบหนึ่ง


จงจิ่งอี๋หันหน้ากลับมา มองเข้าไปในห้องทั้งสองฟากฝั่ง ห้องแรกที่เข้าไปนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ ห้องที่สองเองก็ปกติเช่นกัน ตอนที่ตัดสินใจว่าจะเดินกลับไปสมทบกลับสวีเซี่ยนั้นในห้องโถงที่สอง เสียงครืดคราดนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มันดังติด ๆ กัน 


จงจิ่งอี๋คิดอะไรได้บางอย่าง จึงเดินตามเสียงนั้นและหยุดอยู่หน้าห้องห้องหนึ่งก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปในห้อง และได้เห็นฝาโลงศพแง้มเปิดอยู่ กวาดมองรอบด้านแล้วไม่มีอะไรผิดปกติ ไม่มีทั้งสิ่งมีชีวิตหรือวิญญาณ สาเหตุน่าจะยังอยู่ในโลงศพในห้องนี้


จงจิ่งอี๋กลั้นใจเดินเข้าไป แผ่นยันต์ที่เป็นหมันก่อนหน้าถูกนำมาออกมาเตรียมพร้อมอีกรอบ


ยิ่งเข้าใกล้โลงศพในใจก็เต้นแรง ทว่าสิ่งที่คาดคิดเอาไว้กลับไม่โผล่ออกมาเสียที อย่างน้อยถ้าสิ่งที่อยู่ด้านในจะออกมา ก็น่าจะยื่นมาจับขอบโลงเพื่อพยุงร่างกายตัวเองขึ้นแบบที่เคยเห็นในหนังผี จงจิ่งอี๋เลิกคิ้ว เธอตัดสินใจชะโงกหน้าเข้าไปดูเสียเลย และได้พบกับความว่างเปล่า หญิงสาวหยิบไฟฉายออกมาส่องเข้าไปด้านใน ที่บริเวณด้านล่างที่ควรจะเป็นฐานโลงศพนั้นมีบันไดอยู่


ขณะที่กำลังลังเลว่าจะลงไปเลยดี หรือกลับไปสำรวจห้องโถงก่อนแล้วพาสวีเซี่ยกลับมาดูตรงนี้ดี แผ่นหลังก็ถูกแรกกระแทกเข้าใส่ ความเจ็บและจุกแล่นไปทั่วทั้งร่างกาย ตอนนั้นเองที่เธอเพิ่งจะรู้ตัวว่าฝาโลงที่เปิดอยู่นี้มันกว้างพอกับขนาดตัวคนคนหนึ่งเลย


ถูกหลอกแล้ว

Comment

  • ไม่มีคอมเม้น