Aa
Aa
Aa

สวีเซี่ยไม่ทันได้คว้าตัวของอีกฝ่ายไว้ เจ้าตัวก็หายลับไปในความมืดเบื้องหน้าแล้ว ชายหนุ่มหน้านิ่วคิ้วขมวด อยากตามไปช่วยก็ติดที่ตรงนี้มีอีกสองชีวิต


“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ มียันผู้พิทักษ์ของฉันอยู่ เขาจะปลอดภัย” จงจิ่งอี๋ปลอบอีกฝ่ายขณะยันกายขึ้นมา เมื่อครู่ถูกหวังอันที่ตกใจดันเสียติดผนัง แถมยังตกขั้นบันไดลงไปอีกสองสามขั้น ไม่ขาพลิกก็นับว่าโชคดีมากแล้ว


สวีเซี่ยรับคำก่อนจะหันไปข้างหลังตรวจดูโต้วฟ่านเซิง ก่อนจะพบว่ายามนี้มีเหลือกันสองคนเท่านั้น


“เวรละ” ชายหนุ่มสบถอย่างหัวเสีย จงจิ่งอี๋ได้ยินคำสบถอีกครั้งก็เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ จึงชะโงกหน้ามองดูด้วย ที่ตรงนั้นว่างเปล่าไม่เหลือร่องรอยใด ๆ ของโต้วฟ่านเซิง


สองคนตกอยู่ในความเงียบ ในระยะเวลาอันสั้นเพียงนี้สวีเซี่ยไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะหายตัวไปได้ หรือหากจะวิ่งหนีกลับไปก็ต้องมีเสียงฝีเท้ามากกว่าหนึ่ง ทั้งดูแล้วอีกฝ่ายไม่น่าจะมีพละกำลังกายดีไปกว่าหวังอัน และต่อให้มีวิชาหรือใช้เล่ห์กลใดก็ไม่อาจจะตบตาผู้มี ‘ดวงตาแห่งสัจจะ’ เช่นเขาได้


ชายหนุ่มพินิจมองที่บริเวณนั้นก่อนจะพบกัับอะไรบางอย่าง ที่ผนังฝั่งขวาซ้ายมือของเขามีร่องรอยของกลไกซ่อนอยู่ ไม่สังเกตดี ๆ จะไม่พบความผิดปกติ


จงจิ่งอี๋มองเห็นสวีเซี่ยก้มตัวลงคล้ายว่าเจออะไรบางอย่างจึงขยับเข้าไปดูด้วย “กลไกหรอคะ”


“อืม ตอนที่ถูกเจ้าเด็กนั่นชนเข้าคงล้มไปโดนกลไกที่กำแพงเข้าพอดี” สวีเซี่ยเอ่ยพลางชี้ไปที่หลุมทรงกลมที่ยุบลงไปบนกำแพง “กลไกนี่น่าจะทำให้แผ่นหินของขั้นบันไดเปิดออก และเขาก็ตกลงไป”


ที่บริเวณขั้นบันไดตรงนั้นมีร่องที่สลักเอาไว้อยู่จริง แต่จงจิ่งอี๋ก็ไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไหร่นัก กระนั้นก็ไม่อยากรั้งอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ เธอตบไหล่ของสวีเซี่ยเป็นเชิงให้ออกเดินต่อ ชายหนุ่มไม่คัดค้าน ได้แต่เดินตามโดยยังทำหน้านิ่วคิ้วขมวกอยู่แบบนั้น


พวกเขาเดินไปได้อีกสักพัก ในที่สุดก็ถึงบันไดขั้นสุดท้าย ด้านหน้ามีประตูโค้งตั้งตระหง่าน กวาดมองดูโดยรอบแล้วไม่พบสิ่งที่คิดว่าอาจจะเป็นกลไกหรือกับดัก จึงลองผลักประตูดู


เสียงเสียดสีของไม้เก่าแก่หลายพันปีกับพื้นดินแข็งแสบแก้วหู สวีเซี่ยรวบรวมแรงทั้งหมดเพื่อผลักประตูเปิดเข้าไปด้านใน โดยมีจงจิ่งอี๋ช่วยออกแรงดันพอเป็นพิธี ใช้เวลาอยู่สักพักกว่าจะเปิดช่องพอให้คนเดินเข้าไปได้ แสงสว่างจากด้านในลอดออกมา สองคนมองหน้ากันก่อนจะเดินเข้าไป


ด้านในนั้นเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ แสงเทียนจากรอบทิศสว่างไสว สองคนฉวยโอกาสประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ไฟฉายเอาไว้ แล้วช่วยกัน (ที่จริงคือจงจิ่งอี๋ช่วยให้กำลังใจสวีเซี่ย) ดันประตูปิดเพื่อไม่ให้อากาศจากด้านนอกเข้ามา ก่อนจะเดินสำรวจด้านในอย่างระมัดระวัง


เมื่อครู่นี้ผมคิดขึ้นมาได้… สวีเซี่ยเปิดประเด็นขณะที่พวกเขาสำรวจกำแพงฝั่งหนึ่ง หากมีโต้วฟ่านเซิงตกลงไปข้างล่างจริง ตอนที่กลไกทำงานทำไมผมไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย


จงจิ่งอี๋คิดูแล้วก็ใช่ แต่เธอก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี จึงหันไปมองสวีเซี่ยเป็นเชิงถามไถ่ อีกฝ่ายก็อธิบายให้ฟังอย่างใจเย็นถึงวิธีการทำงานของกลไกทั่วไปตามหลักฟิสิกส์


คนได้ฟังคำอธิบายนั้นก็ยิ่งขมวดคิ้วและยู่หน้า สวีเซี่ยได้แต่หัวเราะ “ความน่าจะเป็นอีกอย่างหนึ่งคือกลไกไม่ใช่ทำให้ตกลงข้างล่าง แต่เป็นขึ้นข้างบนต่างหาก”


“มันอาจจะเป็นไปได้ แต่ไม่ใช่ในกรณีของวันนนี้แน่นอน เพราะเมื่อครู่คุณคงจะไม่ได้สังเกตที่เพดานตรงทางเดิน” ได้ยินแบบนั้นจงจิ่งอี๋ก็ส่ายหน้าไม่เห็นด้วย เธอบอกเล่าสิ่งน่ากลัวที่เธอเพิ่งจะเห็นเมื่อครู่ออกมา “ปกติแล้วในโถงทางเดินของสุสานควรจะมีอักขระวิชาสลักเอาไว้ จำพวกสงบสุขอะไรพวกนี้มากกว่า แต่ที่ฉันเห็นนั้นกลับไม่ใช่ หากแต่เป็นโลงศพ”


สวีเซี่ยได้ยินเช่นนั้นก็อดขนลุกไม่ได้ กับปีศาจยังพอทำเนา แต่กับของพวกนี้เขาไม่อยากยุ่งด้วยเลยจริง ๆ “คุณหมายถึงโลง ‘ที่มี’ ศพสินะ”


จงจิ่งอี๋พยักหน้าพลางบอกเล่ารายละเอียดให้อีกฝ่ายฟัง โลงพวกนั้นเป้นโลงแก้วที่มีศพนอนหลับตาพริ้มคล้ายกำลังฝันดี คนพวกนั้นแต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบของนางกำนัลในวังหลวงสมัยโบราณ หากเทียบตามข้อมูลเธอเคยอ่านเจอก็รู็สึกได้ว่าเจ้าของสุสานช่างมีเมตตาต่อบ่าวรับใช้พวกนี้เกินไปหน่อย นั่นเพราะแก้วสมัยก่อนนั้นราคาแพงกว่ายุคนี้หลายเท่ามาก คงไม่มีใครถึงกับลงทุนนำร่างคนใช้ของตัวเองบรรจุโลงศพราคาแพงหูฉี่ แล้วนำวางเรียงเป็นแนวยาวตลอดทางเดินเช่นนี้ คาดเดาว่าเจ้าของสุสานคงจะมีตำแหน่งสูงส่งมากทีเดียว


“อาจจะเป็นจักรพรรดิบางองค์” เธอสรุปข้อคิดตนออกมา “อีกอย่างที่ฉันสงสัยก็คือทำไมศพพวกนั้นถึงยิ้มอย่างมีความสุขขนาดนั้น สมัยก่อนหากเจ้านายตาย ส่วนมากจะมีการนำบ่าวรับใช้นำฝังร่วมกับข้าวของต่าง ๆ ด้วย…ใช่ค่ะ หมายถึงเอาฝังทั้งที่ยังมีชีวิตนั่นแหละ”


สวีเซี่ยพอจะเคยได้ฟังเรื่องเล่ามาบ้าง แค่คิดตามก็รู้สึกหนาวยะเยือกไปทั้งกาย ลึก ๆ ในใจก็นับถอพวกโจรขุดสุสานพวกนี้จริง ๆ…


“…แล้วก็มีโลงหนึ่งที่ว่างเปล่”า จงจิ่งอี๋เอ่ยปิดท้าย สองคนมองหน้ากันอยู่อย่างนั้น นานทีเดียวกว่าสวีเซี่ยจะเค้นเสียงออกมา


“คงไม่ใช่ว่า…”


“คุณเดาถูกแล้วค่ะ” จงจิ่งอี๋พยักหน้า ก่อนจะถอนหายใจออกมา “แต่ที่ฉันบอกว่าเป็นวิญญาณนั้น เพราะตอนแรกไม่คิดว่าเจ้าของสุสานจะถึงกับเอาบ่าวรับใช้มาต้อนรับแขกแบบนี้”


สรุปว่าเจ้าสิ่งนั้นน่าจะเป็นศพคืนชีพ ขืนไปสัมผัสเข้าจะได้รับพลังหยินมากเกิน หรือหากถูกกัดก็มีโอกาสสูงที่จะถูกพิษศพจากน้ำลายพวกนั้นซึมเข้ากระแสเลือด ทางที่ดีควรอย่าเปิดช่องว่างให้พวกมันเข้าประชิดจะดีกว่า


สวีเซี่ยจึงจำใจต้องเปลี่ยนแผนในทันที ตอนนี้การหาตัวหวังอันสำคัญที่สุด แต่อีกฝ่ายวิ่งมาตามทางเดินที่ทอดยาวสู่ห้องโถง ต่อให้ไม่เจอคนอย่างไรก็ต้องเห็นสิ่งที่ตามเกาะติดหลังบ้าง แต่นี่ไม่เห็นทั้งสองอย่าง เป็นไปได้ว่าหวังอันเองก็อาจจะไปแตะโดนกลไกอะไรเข้าอีกคน


เดินวนครบรอบโถงใหญ่แล้ว จงจิ่งอี๋พอจะคาดเดาตำแหน่งที่ตั้งของ ประตู ได้บ้าง เธอจ้องมองลวดลายวงกลมบนพื้น นิ่งคิดอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะเอ่ยปากขอไฟแช็กกับบุหรี่จากสวีเซี่ย


ชายหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อย ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะถึงกับสูบบุหรี่เป็นด้วย โดยส่วนตัวเขามักจะสูบบุหรี่เวลาเครียดเพราะใช้สมองมากเกินไป ดูไปแล้วอีกฝ่ายคงจะต้องใช้สมาธิในการคิดคำนวณ ทว่าสิ่งที่หญิงสาวทำนั้นเป็นสิ่งที่เขาคาดไม่ถึง


จงจิ่งอี๋หยิบเอาของบางอย่างออกมาจากเป้ มีแท่งทรงกระบอกที่เห็นตอนใช้เขียนอักขระโบราณบนเนินดิน  คุกกี้สอดไส้แยม สตรอเบอรี่ช็อตเค้กแบบกระป๋อง ชานมแบบ UHT และข้าวปั้นจากร้านสะดวกซื้อ


หญิงสาวคลี่ผ้าเช็ดหน้าออกแล้ววางลงบลนพื้น ตามด้วยของกินพวกนั้นที่แกะออกจากซอง ยังใช้หลอดเจาะชานมกล่องอีกด้วย เสร็จแล้วจึงเอาแท่งทรงกระบอกนั้นขีดเขียนลงบนพื้นครู่หนึ่ง จากนั้นจึงจัดการจุดไฟบุหรี่เสียบที่ร่องบนพื้น แล้วหลับตาพนมมือ พึมพำอะไรบางอย่างที่ฟังไม่ออกอยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงลุกขึ้นโค้งแล้วเดินไปหาสวีเซี่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม


“ของพวกนี้ใช้ไหว้ได้ด้วยหรอ” สวีเซี่ยสงสัย เขานึกว่าเวลาทำพิธีกรรมพวกนี้ต้องใช้ของที่กำหนดเท่านั้นเสียอีก และดูเหมือนว่าเจ้าแท่งทรงกระบอกนั้นจะเป็นลิปสติกใช้ไหมนะ


“ได้สิคะ ขอแค่เรามีความจริงใจ แค่บุหรี่มวนเดียวก็ใช้บอกกล่าวฟ้าดินได้” จงจิ่งอี๋บอกด้วน้ำเสียงจริงจัง “แต่เจ้าของสุสานน่าจะเป็นคนใหญ่คนโต ต้องมีของอร่อย ๆ ให้ด้วย เขาจะได้ยอมใจอ่อน”


แต่มาไหว้เอาตอนนี้ดูอย่างไรก็ไม่ค่อยจริงใจเนี่ยน่ะสิ…มองท่าทางมั่นใจของคนตรงหน้าแล้ว สวีเซี่ยชักรู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์บาอย่างที่ผุดขึ้นมาในใจ

Comment

  • ไม่มีคอมเม้น