สีหน้าของพวกหูหนานตะลึงงันชั่วขณะ ความหวาดหวั่นที่ไม่อาจบรรยายได้ประเภทหนึ่งพลันเกิดขึ้นในใจของพวกเขา ความรู้สึกหนาวสั่นก่อตัวขึ้นด้านหลังอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นว่าท่าไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง
แม้พวกเขาจะไม่ทันได้ตอบสนอง หมัดบางๆ ข้างหนึ่งได้ปะปนมากับลมกรรโชกแรงอย่างรวดเร็ว และระเบิดกลางพวกเขาราวกับฟ้าร้องบนพื้นดิน!
เมื่อต้องเผชิญกับปลายหมัดอันยอดเยี่ยมของโม่เหลียงไม่ว่าจะด้วยองศาหรือจังหวะ หูหนานเห็นภาพลวงตาที่เกินความคาดหมายซึ่งไม่อาจต้านทานได้ประเภทหนึ่ง เขารับหมัดของโม่เหลียงอย่างจังภายใต้ความใจลอย ดวงตาของเขาปูดโปน ร่างก็กระเด็นออกไปราวกับกระสอบผ้าขาดวิ่น เลือดที่กระอักออกมาจากปากเกิดเป็นคลื่นสาดกระเซ็นกลางอากาศ
หมัดเดียวทำเอาหูหนานกระเด็น การเคลื่อนไหวของโม่เหลียงไม่หยุดชะงักเลยแม้แต่น้อย เรียวขาของเขากวาดไปราวกับท่อนเหล็ก อานุภาพดุจสายลมในฤดูใบไม้ร่วงที่พัดเอาใบไม้ร่วงหล่นลงมา และกวาดคนสองคนล้มลงท่ามกลางเสียงกรีดร้อง!
ทันทีที่กวาดขาเสร็จ เมื่อมองดูอีกสองคนที่ประมือกับตนอย่างอลหม่านท่ามกลางความตระหนก ยามนี้ร่างผอมบางของโม่เหลียงปะทุพลังอันน่าทึ่งออกมา ร่างของเขายืดอกออกเผชิญอย่างรวดเร็ว ขณะที่หลีกเลี่ยงการโจมตีของทั้งสอง หนึ่งเอียงกายสับศอก หนึ่งจับศีรษะแทงเข่า! ระหว่างที่โม่เหลียงหายใจสองครั้งเขาได้จู่โจมทั้งสองล้มลงอีกครั้ง พลังของเขาดุจเสือห้าวหาญ ความชั่วร้ายเทียบเท่าหมาป่าดุร้าย!
คนสุดท้ายสีหน้าเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงก่อนวิ่งเปิดแนบไปด้านหลัง โม่เหลียงราวกับผู้หยั่งรู้ เขาชิงสะบัดแขนยาวๆ ออกแรงที่แขนต่อยเข้าที่สันหลังของเขา คนผู้นั้นกรีดร้องอย่างน่าสังเวชและหมดสติไปพร้อมกับสีหน้าเจ็บปวด
ในเวลาไม่ถึงครึ่งถ้วยชา นักพรตระดับพลังกายขั้นสองผู้หนึ่งได้ใช้พลังโค่นล้มนักพรตระดับพลังกายขั้นสามและขั้นสี่ทั้งหกคนร่วงลงสู่พื้นอย่างง่ายดาย การเคลื่อนไหวอันน่าพรั่นพรึงครั้งนี้ หากกล่าวออกไปเกรงว่าจะไม่มีผู้ใดเชื่อกระมัง
ตะวันลับขอบฟ้าในที่ห่างไกล ทอดเงาเมฆสีแดงบดบังท้องนภา แสงสีแดงส่องสะท้อนไปยังดวงตาของโม่เหลียง ทำให้เขามีความมหัศจรรย์มากยิ่งขึ้นโดยปริยาย
เมื่อมองดูเด็กหนุ่มซึ่งหมดสติอยู่บนพื้นด้วยหมัดของโม่เหลียง พวกหูหนานที่มีใบหน้าซีดเซียวต่างพากันกลั้นหายใจ พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ในป่าไผ่ดำอันเงียบสงบสามารถได้ยินเสียงหัวใจเต้นตุ้บๆ รวมทั้งเสียงเหงื่อไหลติ๋งๆ บนหน้าผากของทุกคนได้อย่างชัดเจน
พวกหูหนานหวาดกลัวสุดขีด
หมาป่าดุร้ายในคราบลูกแกะและเสือกระดาษที่แข็งนอกอ่อนใน อดีตหรืออนาคตนั้นเป็นดังที่กล่าวมาทั้งหมด
โม่เหลียงเดินเข้าไปหาหูหนานซึ่งนอนอยู่บนพื้นไม่กล้าขยับเขยื้อนพลางเอ่ยปากกล่าว “ข้าขอถามอีกครั้ง ผู้ใดเสี้ยมสอนให้พวกท่านมาหาเรื่องข้า?”
โม่เหลียงมั่นใจว่ามีใครบางคนหนุนหลังคนเหล่านี้อยู่ มิเช่นนั้นลำพังเพียงพวกหูหนานจะกล้าหาเรื่องแก้แค้นเขาโดยไม่แยแสซีซีหรือ?
“ผู้...ผู้อาวุโสเก๋อ!” เมื่อสบตาแปลกประหลาดคู่นั้นของโม่เหลียง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุอันใด หูหนานจึงไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย เขาแทบจะเอ่ยปากตอบกลับทันทีที่สิ้นเสียงโม่เหลียงเพื่อเปิดโปงผู้อาวุโสเก๋ออย่างตรงไปตรงมา
“ฮ่าๆ ดูเหมือนจะไม่ได้ไปเยี่ยมหอสมบัติลับมาพักหนึ่งแล้ว ตาเฒ่าเก๋อกำลังเลินเล่อ” เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ โม่เหลียงส่ายศีรษะพลางยิ้ม เขาไม่โกรธแต่กลับพรั่งพรูความรู้สึกฮึกเหิมออกมาเสียด้วยซ้ำไป
ทันใดนั้นโม่เหลียงหันไปมองพวกหูหนานด้วยสายตามุ่งร้าย ทำเอาพวกหูหนานตกตะลึงพรึงเพริด
“ส่งผลึกกำเนิดที่พวกท่านมีมาให้หมด!”
พวกหูหนานเช็ดเลือดตรงมุมปากพลางลุกขึ้นจากพื้นด้วยใบหน้าซีดเซียว พวกเขารวบรวมผลึกกำเนิดทั้งหมดก่อนส่งให้โม่เหลียงอย่างว่าง่าย
พวกหูหนานห้าคนรวบรวมก้อนผลึกสีเทาขนาดเท่าหัวนิ้วก้อยสิบสามเม็ด ก้อนผลึกสีเทาเป็นผลึกกำเนิดชั้นต่ำ ภายในมีแหล่งกำเนิดปราณบริสุทธิ์ซึ่งสามารถเลื่อนขั้นการบำเพ็ญเพียรได้โดยการหลอม
พวกหูหนานลอบยินดีเช่นกัน โชคดีที่เป็นช่วงปลายเดือน ผลึกกำเนิดบนร่างของพวกเขาถูกใช้ไปจนเกือบหมดแล้วเช่นกัน เดิมก็เหลือเพียงไม่กี่เม็ด ให้ก็ให้เถิด ทำบุญทำทานไปให้หมด
โม่เหลียงเก็บผลึกกำเนิด จากนั้นพลิกตัวศิษย์ผู้ถูกเขาทำให้หมดสติผู้นั้นเพื่อควานหาผลึกกำเนิด เมื่อเห็นเช่นนี้ หนังหน้าของพวกหูหนานกระตุกชั่วขณะ พวกเขายั่วยุคนแบบใดเข้ากันแน่!
โม่เหลียงเสียพลังงานมหาศาลจึงจะควานเอาผลึกกำเนิดออกมาจากตัวผู้หมดสติได้สามเม็ด สีหน้าช่างผิดหวัง เห็นเพียงเขาหันศีรษะมองไปยังพวกหูหนานพลางยิ้มเอ่ย
“ศิษย์พี่ทั้งห้าล้วนเป็นศิษย์นอกสำนักและได้รับผลึกกำเนิดชั้นต่ำสามสิบเม็ดทุกเดือน จากนี้ไปในทุกๆ เดือนเมื่อพวกท่านได้รับผลึกกำเนิดแล้ว จะต้องมอบหนึ่งในสามเป็นค่าปิดปากแก่ข้า เรื่องในวันนี้ก็ทำเหมือนว่าไม่เคยเกิดขึ้น ห้ามมิให้ผู้ใดเอ่ยถึงมันอีก ศิษย์พี่หูหนาน เรื่องนี้มอบให้ท่านจัดการแล้ว หลังจากแจกจ่ายทรัพยากรการบำเพ็ญเพียรในวันแรกของแต่ละเดือน เมื่อนั้นให้รวบรวมผลึกกำเนิดที่พวกท่านทั้งห้าได้รับมาพร้อมกับมอบให้ข้า”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของพวกหูหนานขมขื่นในชั่วพริบตา ค่าปิดปากอันใด และไม่รู้ว่าผู้ใดปิดปากผู้ใดกันแน่ พวกเขามิได้สัมผัสแม้กระทั่งเส้นผมของโม่เหลียงก็พลาดท่าถูกเขากระทืบอย่างรวดเร็วเสียแล้ว
พวกหูหนานรวมกันทอดถอนใจเสียงหนึ่ง พวกเขาไม่เพียงแต่ถูกทุบตีอย่างไร้ความปราณี ทว่ายังต้องปกปิดการกระทำชั่วร้ายแทนผู้ใช้กำลังอีกด้วย ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือยังต้องส่งส่วยให้โม่เหลียงทุกเดือน พวกเขาจะหาความเป็นธรรมได้จากที่ใดกัน?
พวกหูหนานมองศิษย์ผู้นั้นที่ถูกโม่เหลียงทำให้หมดสติไปแวบหนึ่ง ภายในใจคิดว่าโม่เหลียงยังนับว่าเหลือความเป็นมนุษย์อยู่ไม่น้อย รู้ว่าตนลงมือกับคนผู้นี้แรงเกินไปจึงไม่เก็บส่วยของคนผู้นี้แล้ว พวกหูหนานยังคงริษยาบางส่วน ภายในใจคิดว่ายามนี้หากผู้ที่นอนอยู่บนพื้นคือพวกเขาก็ไม่ต้องส่งส่วยแล้ว สำหรับพวกเขาแล้ว ผลึกกำเนิดชั้นต่ำสิบเม็ดต่อเดือนนั้นนับว่าเป็นจำนวนมิใช่น้อยเลยล่ะ
ครั้นแล้วเห็นเพียงหลังมือของโม่เหลียง เดินสาวเท้าอย่างไม่ยี่หระพลางเป่าปากก่อนหมุนกายเตรียมจากไป
“โอ้ เกือบลืมศิษย์พี่ที่สลบผู้นี้ไปเสียแล้ว ศิษย์พี่หูหนาน เก็บส่วยทั้งหมดหกคน!” ร่างของโม่เหลียงหยุดชะงักชั่วขณะ หลังจากกล่าวประโยคนี้จบก็สะบัดแขนเสื้อก่อนหายเข้าไปในป่าไผ่ดำโดยไม่หันกลับมา ทิ้งให้พวกหูหนานยืนจับมือน้ำตานองหน้า...
ห้องโถงในหอสมบัติลับ สำนักเสวี่ยเจี้ยน
ชายชราผมหงอกไว้เคราสวมเสื้อแพรสีน้ำตาลผู้หนึ่งกำลังลูบเคราของเขาที่ย้อยลงมาถึงอกพลางจิบชาหอมอย่างสบายใจ
นี่คือ ผู้อาวุโสเก๋อ ผู้รับผิดชอบการประเมินการทดสอบสามสำนักในบ่ายวันนี้ เป็นหนึ่งในสี่ผู้อาวุโสแห่งสำนักเสวี่ยเจี้ยนและเป็นผู้ดูแลหอสมบัติลับ
ทันทีที่คิดว่ายามนี้โม่เหลียงอาจกำลังถูกพวกหูหนานกระทืบอย่างรุนแรงและถูกทุบตีกลายเป็นหัวหมู ใบหน้าของผู้อาวุโสเก๋อก็ปรากฏความเบิกบานออกมาราวกับว่าเขาอายุน้อยลงไปมากโข
ปล่อยให้เด็กอย่างเจ้าทำกระถางวิญญาณเคลือบดินเผาของข้าแตก! ปล่อยให้เด็กอย่างเจ้าตั้งตนเป็นศัตรูกับข้า! ปล่อยให้เด็กอย่างเจ้าพูดพล่ามทั้งวัน! ชายชราเช่นข้าจะกำจัดเจ้าไม่ได้จริงหรือ?
ขณะที่ผู้อาวุโสเก๋อกำลังครุ่นคิดอย่างมีความสุข เสียงอันคุ้นเคยสายหนึ่งก็ดังขึ้น ผู้อาวุโสเก๋อเบิกตาโพลงก่อนสำลักน้ำชาเข้าเต็มๆ เขาไอเสียอยู่นานจนใบหน้าแห้งเหี่ยวแดงระเรื่อ
“ผู้อาวุโสเก๋อ! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
เพิ่งสิ้นเสียงได้ไม่นาน โม่เหลียงเพิกเฉยต่อการฉุดรั้งของศิษย์เฝ้ายามทั้งสองก่อนมายังห้องโถงใน
เมื่อมองดูโม่เหลียงที่ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย สีหน้าที่เพิ่งผ่อนคลายของผู้อาวุโสเก๋อค่อยๆ ขุ่นเคือง เพื่อสะกดความกลัดกลุ้มและความไม่เข้าใจที่อยู่ภายใน ผู้อาวุโสเก๋อโบกมือบอกให้ศิษย์เฝ้ายามทั้งสองที่ขัดขวางโม่เหลียงถอยออกไป
เห็นเพียงโม่เหลียงนั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่ในห้องโถงในอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย สีหน้าท่าทางเดือดดาลอย่างบ้าคลั่ง
“โม่เหลียง เกิดอันใดขึ้น?” ผู้อาวุโสเก๋อเอ่ยปากถามเสียงเรียบ
“ผู้อาวุโสเก๋อ ข้านอนหลับสบายอยู่บนเตียงดีๆ จู่ๆ มีคนมาถีบประตูเรือนข้า เมื่อเข้ามาก็จะทุบตีข้า! โชคดีที่ซีซีมาได้ทันกาล มิเช่นนั้นข้าอาจถูกกระทืบตายไปแล้ว”
ผู้อาวุโสเก๋อลอบด่าในใจ พวกหูหนานที่โง่เขลางุ่มง่ามกลุ่มนั้นมิได้คุยกันว่าจะหลอกเขาเข้าไปในส่วนลึกของป่าไผ่ดำและกระทืบเขาในที่ที่ซีซีมองไม่เห็นหรอกรึ!
“ผู้อาวุโสเก๋อ ท่านว่า ข้าประพฤติตนอยู่ในกรอบทั้งวัน กระทำการอย่างสุขุมเยือกเย็น ข้าไปยั่วโมโหผู้ใดเข้าหรือ?” ใบหน้าของโม่เหลียงไร้เดียงสา
หนังหน้าอันเหี่ยวย่นของผู้อาวุโสเก๋อกระตุก เขาอยู่ในกรอบหรือ? สุขุมเยือกเย็นหรือ? อย่าได้สบประมาทแปดคำนี้ล่ะ ผู้ใดทำให้ผู้ใดขุ่นเคือง? นี่เจ้าโง่หรืออย่างไรกัน?
“แล้วพวกหูหนานล่ะ?” ผู้อาวุโสเก๋อถามอีกครั้ง
“พวกเขาถูกซีซีทุบตีไปยกหนึ่ง จากนั้นถูกข้าโยนเข้าไปในป่าไผ่ดำแล้ว”
“ในเมื่อซีซีได้ให้บทเรียนพวกเขาเป็นที่เรียบร้อย เจ้าเองก็มิเป็นอันใดแล้ว เรื่องนี้ก็แล้วกันไปเถิด”
“แล้วกันไปหรือ? ผู้อาวุโสเก๋อ หากไม่เรื่องนี้จัดการอย่างจริงจัง แล้วมีคนมาทุบตีข้าทุกวันต่อจากนี้จะทำอย่างไร? ซีซีก็มิอาจปกป้องข้าได้ตลอดเวลา ไม่แน่ว่าข้าอาจถูกกระทืบตายเข้าสักวัน” โม่เหลียงเอ่ยโต้แย้งอย่างรวดเร็ว
ผู้อาวุโสเก๋อชำเลืองมองโม่เหลียงพลางคิดในใจ นับว่าเด็กอย่างเจ้ายังรู้ตัวเอง ว่าหากไม่มีซีซีคอยปกป้องจะถูกกระทืบ
“ไม่ได้การๆ ข้าต้องไปแล้ว สำนักนี้อันตรายเกินไป!” โม่เหลียงดูลนลาน
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าแห้งเหี่ยวของผู้อาวุโสเก๋อขมขื่นในพลัน เขาย่อมไม่กังวลเรื่องที่โม่เหลียงจะจากไป เขาปรารถนาให้เจ้าเด็กนี่ออกจากสำนักโดยเร็ว ทว่าซีซีเคยลั่นวาจาเอาไว้ หากโม่เหลียงไป นางก็จะไปเช่นกัน พวกเขาจะตัดใจปล่อยอัจฉริยะอย่างซีซีที่หาได้ยากในศตวรรษนี้ไปได้อย่างไรกัน
เมื่อมองดูโม่เหลียงที่กระตือรือร้นอยากจะจากไป บนใบหน้าของผู้อาวุโสเก๋อเผยรอยยิ้มออกมาก่อนเกลี้ยกล่อมให้โม่เหลียงสงบสติอารมณ์
ทันใดนั้นผู้อาวุโสเก๋อรู้สึกว่าตนช่างต่ำต้อยยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่าในใจหวังให้โม่เหลียงไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทว่าปากยังคงเรียกร้องให้เขาอยู่ต่อ
และโม่เหลียงผู้นี้ที่กำลังมีความคิดเลศนัยภายใต้จิตสำนึกของเขา ผู้อาวุโสเก๋อจะไม่รู้เลยอย่างนั้นหรือ นี่มิใช่ครั้งแรกที่เขาถูกเจ้าเด็กนี่ให้ร้าย ผู้อาวุโสมีมากมายเช่นนี้โม่เหลียงกลับไม่ตามหา แต่กลับตามหาตนแทน โม่เหลียงรู้ดีว่าตนกำลังหนุนหลังพวกหูหนานอยู่ อาจกล่าวได้ว่าเขาและโม่เหลียงต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ ทว่าโม่เหลียงรู้ได้อย่างไรล่ะ? แม้พวกหูหนานจะได้รับบทเรียนจากซีซี แต่ก็ไม่มีความกล้าที่จะสารภาพเรื่องตนเช่นกัน ช่างเป็นเรื่องแปลกเสียจริง
ผู้อาวุโสเก๋อทราบที่ใดกันว่าหูหนานจวนจะถูกโม่เหลียงขู่ขวัญเสียจนดีฝ่อ อย่าว่าแต่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังพวกหูหนานเป็นผู้อาวุโสในสำนักผู้หนึ่งเลย ต่อให้เป็นเจ้าสำนัก ยามนั้นหูหนานก็จะรับสารภาพโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ผู้อาวุโสเก๋อรู้ดีว่าหากต้องการไกล่เกลี่ยเพื่อยุติเรื่องราวก็ทำได้เพียงหลั่งเลือดออกมาเท่านั้น
เขานวดขมับ ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสเก๋อจะแก่หง่อมลงหลายปีในชั่วพริบตา เขาเอ่ยปากพลางทอดถอนใจ
“ว่ามา เจ้าต้องการค่าชดเชยอันใด?”
“ข้าได้ยินมาว่าผู้อาวุโสเก๋อเพิ่งได้เกราะอ่อนสีทองมาชุดหนึ่ง...”
ใบหน้าของผู้อาวุโสเก๋อดำคล้ำ ก่อนที่โม่เหลียงจะกล่าวจบเขาได้โต้กลับอย่างรวดเร็ว “ไม่ได้!”
“เช่นนั้นก็ไม่มีสิ่งใดจะพูดแล้ว” โม่เหลียงยิ้มพลางส่ายศีรษะก่อนลุกจากเก้าอี้แล้วเดินจากไป “ผู้อาวุโสเก๋อ ในวันที่ข้าและซีซีจากไป รบกวนท่านจัดเตรียมรถม้าที่โปร่งเย็นสบายไว้ให้พวกเราด้วย อากาศมันช่างร้อนเกินไป”
ผู้อาวุโสเก๋ออยากเตะเด็กหนุ่มตรงหน้าออกไปหนึ่งร้อยแปดสิบจั้งยิ่งนัก แต่เขากลัวจริงๆ ว่าเตะครั้งนี้อาจทำให้โม่เหลียงที่ร่างกายแคระแกร็นไร้เรี่ยวแรงจะถูกเขาเตะจนตายคาที่ได้
ไม่มีคอมเม้น