เสียงน้ำหยดลงพื้นดังก้องกังวาน ความอึดอัดในบรรยากาศที่ชวนให้รู้สึกหนาววาบ ความมืดมิดอันไร้จุดสิ้นสุด และยังเต็มไปด้วยกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ลอยอวลชวนคลื่นไส้ ทว่านี่ย่อมไม่นับเป็นอุปสรรคสำหรับผู้เชี่ยวชาญที่คลุกคลีอยู่ในวงการมาหลายปี พวกเขาสวมหน้ากากรุ่นพิเศษที่สามารถกันไม่ให้เชื้อราพันปีพวกนี้เข้าไปในร่างกายผ่านทางปากและลมหายใจ ส่วนในมือก็พกอาวุธคู่กายเดินดุ่ม ๆ เข้าไปตามโพรงดินที่เป็นอุโมงค์โจรเก่า
“ลูกพี่ว่ามันจะยังมีของเหลือถึงมือพวกเราอยู่หรอ”
“แน่นอน! ไม่อย่างนั้นมันจะเต็มไปด้วยความอาฆาตของวิญญาณโจรโลภมากพวกนั้นหรอ และที่สำคัญ…” คนคนนั้นเว้นช่วงไปขณะหันมองซ้ายขวา “การคำนวณของฉันไม่เคยผิดพลาด!”
ตอนนี้พวกเขาเดินทางมาถึงทางแยกที่สองในสุสานแล้ว ตลอดทางที่ผ่านมาล้วนราบรื่นจนน่าแปลกใจ อาจจะเพราะถูกทลายกลไกโดยรุ่นพี่ของพวกเขาก็เป็นได้ แต่ในสถานที่เช่นนี้ยิ่งราบรื่นก็ยิ่งให้ความรู้สึกไม่ปลอดภัย
“ลูกพี่”
‘ลูกพี่’ ที่อยู่ด้านหน้าขบวนยกท่อนแขนขึ้นเป็นสัญญาณว่าให้เงียบ ชิวเหวินหรี่ตามองไปยังเส้นทางทั้งสองสายเบื้องหน้า ในความมืดนั้นคล้ายมีอะไรบางอย่างกำลังขยับไหวอยู่ เสียงของมันแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินหากไม่ตั้งใจฟัง เสียงนั้นเดี๋ยวก็ดังมาจากทางซ้าย ประเดี๋ยวก็ดังมาจากทางขวา
“ลูกพี่ เสียงนั่น…” ชายหนุ่มร่างกำยำคนนั้นดูเหมือนจะได้ยินมันแล้ว เขาเสียงเครียดและฟังดูกังวลอย่างมาก ดวงตาเหลือบมองไปทางลูกพี่ของตนอย่างระแวดระวัง หากเขามีความกล้ากว่านี้หน่อย ก็คงคัดค้านไม่ให้อีกฝ่ายรีบร้อนถ่อมาลงสุสานช่วงกลางดึกเช่นนี้ แค่คนสามคนทำไมถึงต้องกลัวจนพาทุกคนมาเสี่ยงตายในช่วงเวลาที่พลังหยินแรงสุดของวันแบบด้วย
ทว่าแม้ไม่พอใจ ก็ไม่อาจทำอะไรได้ ในเมื่อยังต้องพึ่งพาคนผู้นี้…
“ไม่ว่ามันจะเป็นผู้พิทักษ์สุสานตนไหน เราก็ถอยไม่ได้แล้ว” ชิวเหวินเอ่ยตัดบท นั่นเพราะหากช้าไปมากกว่านี้ เกรงว่าของที่หมายปองจะไม่มีแม้แต่โอกาสจะยลโฉม
ชิวเหวินยกมือส่งสัญญาณออกไป ทั้งขบวนล้วงเอาแผ่นยันต์ออกมาโดยพร้อมเพรียง ฉีกมันออกเป็นสองท่อน แผ่นยันต์ลุกไหม้เป็นจะกลายเป็นลำแสงสีทองโอบล้อมรอบร่างของพวกเขาเอาไว้ อึดใจต่อมาทั้งขบวนก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง และจากการคำนวณอันแม่นยำของชิวเหวิน เขาพาทีมมุ่งหน้าไปทางซ้าย
แซ่ก! แซ่ก!
เสียงประหลาดนั่นดังขึ้นอีกแล้ว ดูเหมือนว่ามันจะชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกย่างก้าวที่พวกเขาเดินหน้าเข้าไปในส่วนลึกของสุสาน ทุกคนร่างกายเครียดเกร็ง เพ่งสมาธิไปที่การฟังเสียง
แซ่ก! แซ่ก! แซ่ก! แซ่ก!
มันเริ่มถี่ขึ้นและคล้ายว่าจะเร็วขึ้นด้วย…
แซ่ก! แซ่ก! แซ่ก! แซ่ก! แซ่ก! แซ่ก! แซ่ก! แซ่ก! แซ่ก!
ในช่วงจังหวะนั้นเองที่จู่ ๆ ความืดก็เข้าแทนที่ แสงจากไฟฉายแรงสูงดับลงพร้อมกัน เสียงดังพลั่กเพราะเดินชนแผ่นหลังของคนด้านหน้าและเสียงร้องโอดโอยดังอยู่อึดใจหนึ่ง ชิวเหวินหยุดเดิน ดวงตาของเขาหรี่ลงจนหดเหลือเพียงขีดเดียว ฝ่ามือกำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน และก่อนที่สิ่งนั้นจะทันได้พุ่งลงมาจู่โจม อาวุธที่ด้ามของมันพันด้วยแผ้นยันต์สีแดงสดราวกับเลือดก็ถูกปาออกไป
ก๊าซซซซซ!!!
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังกังวานไปทั่วทั้งอุโมงค์ สะท้อนก้องผ่านทางช่องว่างที่เชื่อมต่อไปทั่วทั้งบริเวณสุสาน คนอีกฝั่งที่เพิ่งจะไต่ลงมาถึงข้างล่างถึงกับขนลุกเกรียวและหันขวับโดยอัตโนมัติ
โต้วฟ่านเซิงขมวดคิ้วมุ่นมองเข้าไปความมืด เสียงประหลาดนั้นดังอยู่ไม่กี่วินาทีก่อนจะเงียบหายไป ชายหนุ่มตัดสินใจรีบจัดการธุระของตนเองให้เสร็จ แปะยันต์สลับไปมาระหว่างทางเดินสองฝั่งเข้าไปในอุโมงค์ ก่อนจะวางแผ่นสุดท้ายลงไปตรงกลางทางเดิน คนล้วงเอากระติกเก็บความเย็นออกมา เปิดฝาออกแล้วเทสิ่งที่อยู่ด้านในลงไป กลิ่นเหม็นคาวชวนให้คลื่นไส้ลอยไปทั่วบริเวณ เสร็จเรียบร้อยก็วิ่งออกไปยังทางเข้าแล้วปีนกลับขึ้นด้านบน
โต้วฟ่านเซิงต้องกลั้นหายใจจนแทบจะขาดอากาศตาย ขึ้นมาได้ก็สูดอากาศเข้าเต็มปอดอย่างหิวกระหาย เขาเหลือบมองด้านล่างก่อนจะหาท่อนไม้ เศษใบไม้ และหญ้ามาคลุมปิดเอาไว้ เมื่อมั่นใจแล้วว่าทางขึ้นลงนี้ปลอดภัย เขาก็ลุกขึ้นเดินกลับที่พัก
เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับสิ่งที่อาจจะโผล่ออกมาจากข้างในสุสานได้ทุกเมื่อนั้น เดิมทีโต้วฟ่านเซิงวางแผนเอาไว้ว่าจะจัดการกับการเตรียมทางหนีทีไล่ไว้ตั้งแต่ตอนกลางวัน เขายังจงใจเลือกเส้นทางด้านหลังของภูเขาเพื่อที่จะได้ไม่เจอกับพวกของชิวเหวิน แต่โชคชะตาเหมือนกลั่นแกล้ง เมื่อเขารอดพ้นสายตาเจ้าพวกมาเฟียนั่น แต่ดันเจอกับตำรวจเข้า
ชายหนุ่มคนนั้นกับลูกค้าร้านหนังสือของพ่อ…คนจากตระกูลสวีและตระกูลจง ตระกูลนักปราบปีศาจเมื่อร่วมมือกับตระกูลนักพรตย่อมเป็นคู่ต่อสู้ที่ยากจะต่อกร เขาพอจะคาดเดาได้ว่าคนพวกนั้นมาโผล่ที่นี่ด้วยจุดประสงค์อะไร การหลีกเลี่ยงไม่ปะทะซึ่ง ๆ หน้าได้ย่อมดีกว่า เพราะแบบนี้โต้วฟ่านเซิงจึงต้องแบกเป้หอบข้าวของไปเตรียมการกลางดึกที่สุสาน กระทำการที่ขัดต่อข้อห้ามร้ายแรงสำหรับนักขุดสุสานเช่นพวกเขา
อย่างไรก็ตาม โต้วฝานเซิงไม่ได้คาดคิดว่าจะถูกพบเจอตัวเร็วขนาดนี้ เพิ่งจะเปิดประตูเข้ามาในโรงแรม ก็ได้เจอกับคนที่ไม่อยากเจอมากที่สุด…เห็นทีว่าตัวเขาคงดูถูกฝีมือตำรวจพวกนี้มากไปหน่อย
“สวัสดีครับ คุณโต้ว” สวีเซี่ยยิ้มให้อย่างสุภาพ ทว่าดวงตากลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง โต้วฟ่านเซิงแม้มีประสบการณ์ตบตีกับลูกค้าที่ชอบกดราคา แต่ไม่เคยมีประสบการณ์โดยตรงกับตำรวจแบบตัวต่อตัวเช่นนี้มาก่อน จึงแสดงสีหน้าตกใจออกมาอย่างห้ามไม่ได้
“ไม่ต้องกลัว ผมไม่ทำอะไรคุณ”
“…” โต้วฟ่านเซิงขมวดคิ้ว รู้สึกว่าคำพูดนั้นฟังดูแปลกชอบกล “คุณอยากคุยกับผมเรื่องอะไร”
“คุณก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรอครับ” สวีเซี่ยตอบกลับ มุมปากเริ่มจะกลายเป็นแสยะยิ้มอยู่รอมร่อ ติดแต่ตรงที่ว่าเจ้าตัวไม่ได้รู้ตัวก็เท่านั้น “ถ้ายังไงพวกเราขึ้นไปคุยกันข้างบนดีกว่า”
ร่างสูงลุกขึ้นจ้องมองไปยังคนสะพายที่ยืนอยู่ห่างออกไป โต้วฟ่านเซิงทีแรกคิดจะบ่ายเบี่ยง แต่เมื่อนึกถึงสถานการณ์ในตอนนี้ก็ได้แต่พยักหน้าอย่างจำยอม สองคนเดินขึ้นไปยังชั้นสาม เปิดประตูห้องพักหมายเลข 304 ด้านในนั้นมีคนสองคนกำลังสุมหัวคุยกันอยู่เหนือกองกระดาษที่วางระเกะระกะบนพื้น
“กลับมาช้าจังเลยนะคะ” จงจิ่งอี๋เอ่ยทักก่อนจะเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นว่ามีอีกคนตามเข้ามาก็ขมวดคิ้ว ก่อนจะร้อง ‘โอ๊ะ’
“มีเพื่อนร่วมทีมเพิ่มอีกคน ยังไงก็รู้สึกอุ่นใจกว่า จริงไหมครับ คุณโต้ว” สวีเซี่ยเอ่ยขณะปิดประตู ตอนนี้โต้วฟ่านเซิงรู้สึกว่ากำลังจะเข้าห้องเชือดอย่างไรอย่างนั้น บรรยากาศจากคนข้างกายเขาช่างไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย
“ขอบคุณมากเลยค่ะ ถ้ายังไงอยากรบกวนคุณมาช่วยดูเส้นทางที่ฉันลองวาดคร่าว ๆ ได้ไหม”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วกำลังจะเปิดปากเอ่ยแย้ง จงจิ่งอี๋จึงเอ่ยต่อ “ถ้าคุณยอมช่วย ฉันว่าพ่อคุณน่าจะพอคลายกังวลได้บ้าง”
โต้วฟ่านเซิงเบิกตาโต “คุณ…เจอพ่อผม”
จงจิ่งอี๋พยักหน้าก่อนจะอธิบายให้เขาฟังคร่าว ๆ โต้วฟ่านเซิงถึงกับกุมศีรษะด้วยอาการปวดหัวที่พุ่งขึ้นมากะทันหัน พลางกล่าวขอโทษหญิงสาวกับความเอาแต่ใจของบิดาตน
“คุณไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ คุณควรหาวิธีเอาตัวเองให้รอดจากคนข้างหลังคุณมากกว่า”
“ผมบอกแล้วว่าจะไม่ทำอะไรคุณ แต่นั้นเป็นในกรณีที่คุณยอมร่วมมือด้วยนะ”
โต้วฟ่านเซิงถอนหายใจเฮือก เขารู้อยู่แล้วละว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ได้มาฟรี ๆ ชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่อึดใจหนึ่งคล้ายกำลังขบคิด ก่อนจะยอมพยักหน้าตกลง
“ขอแค่ผมปลอดภัยและพวกคุณจะไม่มายุ่งกับผมอีก”
“ตกลง”
สองคนจ้องลึกเข้าไปดวงตาของกันและกัน โต้วฟ่านเซิงเป็นฝ่ายหันหนีก่อน เขาเดินไปยังหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในห้อง ก่อนจะลงข้างเธอพลางรับกระดาษทีเต็มไปด้วยลายเส้นและตัวหนังสือขยุกขยุยมา
“นี่มัน…”
“แบบแปลนห้องสุสานที่ช่วยเขาลองร่างดูจากความทรงจำของคุณโต้ว…เอ่อ พ่อของคุณ น่ะค่ะ” จงจิ่งอี๋อธิบายพลางชี้ไปทางหวังอัน
โต้วฟ่านเซิงจดจ้องกระดาษแผ่นนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “ผมจะช่วยคุณดูเอง แต่ว่ามันอาจไม่ถูกต้องทั้งหมดนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเชื่อฝีมือคุณ” จงจิ่งอี๋ยิ้ม พลางมอง ‘อาจารย์’ ท่านนี้อย่างสนใจใคร่รู้
โต้วฟ่านเซิงเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของหญิงสาว ก่อนจะเบนสายตากลับไปสนใจข้อมูลในมือตนต่อ ฝ่ามือที่กำปากกาเกร็งแน่น หวังเพียงว่าความลับของตนเองจะยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้
ไม่มีคอมเม้น