Aa
Aa
Aa

“สองแผ่นนี้เอาไว้ป้องกันตัว แผ่นนี้เอาไว้โจมตี แผ่นนี้เอาไว้ใช้เวลาหลบหนี แล้วก็แผ่นนี้…”


สวีเซี่ยพยักหน้าขณะพยายามจดจำสีของแผ่นยันต์กับรูปแบบการใช้งานของพวกมันจากจงจิ่งอี๋ ทางหวังอันกับโต้วฟ่านเซิงนั้นกำลังทบทวนแบบแปลนรอบสุดท้าย พลางจดจำทางหนีทีไล่เอาไว้สำหรับยามฉุกเฉิน


“จำเอาไว้ว่าหากเจอศพคืนชีพ ห้ามใช้เคล็ดวิชาปราบปีศาจของบ้านคุณจู่โจม” จงจงจิ่งอี๋กำชับเป็นรอบที่สิบ “นอกจากจะไม่ได้ผลแล้ว ยังอาจทำให้เกิดอาการ ‘วิญญาณคลั่ง’ ได้”


ปรากฎการณ์ ‘วิญญาณคลั่ง’ เป็นภาวะที่วิญญาณผู้ตายถูกกระตุ้นด้วยอาคมปราบปีศาจ ซึ่งมีสื่อหลักเป็นพลังงานหยินเหมือนกัน เมื่อถูกสัมผัสจะผนวกรวมเข้ากับแก่นกลางของวิญญาณ ทำให้พลังหยินรุนแรงเกินกว่าเจ้าของวิญญาณจะสามารถควบคุมได้ เหล่านักปราบผี นักพรต และผู้มีวิชาทั้งหลายเรียกสภาวะนี้ว่าวิญญาณคลั่ง


“…ส่วนสิ่งอื่นนอกจากศพพวกนั้นแล้ว คุณอยากจะจัดการยังไงก็ตามสบายเลย”


สวีเซี่ยพยักหน้าอีกครั้ง เขาไม่เคยลงสุสานมาก่อน ที่จริงต้องบอกว่าไม่เคยมีนักปราบปีศาจคนไหนลงมาเดินเล่นในสุสานมาก่อน เพราะอย่างไรก็ต่อกรกับศพและวิญญาณไม่ได้ แถมยังอาจเร่งให้ตัวเองตายไวเพราะไปกระตุ้นพวกผีนี่เข้าอีก


พวกเขาใช้เวลาเตรียมตัวอีกเล็กน้อยก่อนจะออกจากห้องพัก อีกไม่นานเข็มนาฬิกาจะชี้ที่เลขสิบแล้ว พวกเขาจะฉวยโอกาสที่ช่วงเวลาพลังหยินอ่อนที่สุดของวันลงไปข้างล่าง จัดการให้เร็วที่สุดและขึ้นมาก่อนเวลาสี่โมงเย็น เพราะอย่างน้อยก็พอจะรับรองได้ว่าตอนกลับขึ้นมาจะไม่มีพวกเศษเล็กเศษน้อยติดมาด้วย


เดินออกจากโรงแรมจัดผ่านตัวหมู่บ้านลงไปทางถนนหลวง พวกเขาเห็นทางเดินลงเขาที่ทอดยาวลงไปอีกฟากฝั่ง สวีเซี่ยเดินนำอยู่หน้าสุด ปิดท้ายด้วยหวังอันที่คอยจับตามองโต้วฟ่านเซิงเอาไว้


การเดินทางในวันนี้นับว่าราบรื่นดี แม้จะมีฝนโปรยปรายลงมาบ้างแต่ก็เพียงเล็กน้อย และไม่นับว่าเป็นปัญหาต่อการลงไปข้างล่างของพวกเขา เกือบหนึ่งชั่วโมงผ่านไป ทั้งคณะก็หยุดอยู่หน้าเนินผาดินสูงประมาณสองสามเมตรแห่งหนึ่ง


“ถ้าคำนวณไม่พลาด บริเวณนี้น่าจะเป็นทางลงไปข้างล่าง…”


หวังอันมองทางตันด้านหน้าแล้วหันมาขมวดคิ้วใส่คนพูด สีหน้าข้องใจเป็นอย่างมาก “คุณผู้หญิงครับ คงไม่ได้กะใช้งานให้พวกผมทั้งสามคนต้องขุดดินลงไปข้างล่างหรอกใช่ไหม”


“สุสานส่วนใหญ่อยู่ใต้ดิน จะขุดลงไปก็ไม่แปลกตรงไหนนี่คะ” จงจิ่งอี๋เอียงคออย่างไม่เข้าใจนัก คนคนนี้จะแตกตื่นทำไม


“กว่าจะขุดถึงทางเข้าจะไม่หมดวันก่อนหรอ!” หวังอันโวยวายอย่างหัวเสีย ให้ขุดน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ขุดเสร็จคงหมดแรงก่อนจะได้เข้าไปด้านในพอดี แถมตอนนี้พวกเขาไม่มีอุปกรณ์ที่พอจะใช้ขุดได้เลย แบบนี้ไม่เท่ากับเอาชีวิตมาทิ้งเปล่า ๆ หรือ


“ถ้าเป็นกรณีปกติแล้วก็ใช่ค่ะ” จงจิ่งอี๋พยักหน้ารับพลางทำหน้าตาใสซื่อ เห็นอีกฝ่ายแสดงอาการเช่นนี้แล้วในใจก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ถือเสียว่าเป็นการเอาคืนเล็กน้อยที่อีกฝ่ายจ้องแต่จะหาเรื่องเธอตั้งแต่เริ่มเดินทาง


ได้ยินคำตอบแบบนั้นหวังอันยิ่งอาการหงุดหงิดออกมา “คุณ ๆ ๆ!”


สวีเซี่ยได้แต่ถอนหายใจเฮือกก่อนจะส่งเสียงกระแอมไอ หวังอันจึงพยายามระงับอารมณ์เอาไว้อย่างสุดความสามารถ


“อาจิ่ง คุณเริ่มเลยเถอะ พวกเราไม่อาจเสียเวลาไปได้มากกว่านี้”


เมื่อพูดออกมาเช่นนี้ จงจิ่งอี๋จะแกล้งตีหน้าซื่อต่อไปก็ดูจะไม่ดี ไม่แน่ว่าเจ้าเด็กหวังอันคนนี้จะหาเรื่องคอยจับผิด หาว่าเป็นพวกเดียวกับฆาตกรก็เป็นได้ และสวีเซี่ยเองก็อาจจะไม่ยอมเชื่อใจเธออีก…


หญิงสาวสาวเท้าขึ้นหน้าเดินเข้าไปใกล้กับเนินผาดินนั่น หยิบเอาแท่งทรงกระบอกออกมาจากกระเป๋า เปิดฝามันออกแล้วนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เหล่าชายหนุ่มที่ยืนด้านหลังไม่มีเห็นสีหน้าอันเจ็บปวดของเธอ จงจิ่งอี๋เม้มปากคล้ายคนที่ตัดสินใจได้ ยกเจ้าสิ่งนั้นขีดเขียนลงบนเนินดินเบื้องหน้า ตัวอักษรยึกยือราวกับไส้เดือนที่บิดงอปรากฎขึ้น ด้วยความเร็วในการเขียนของจงจิ่งอี๋ ไม่กี่อึดใจเขียนเสร็จเรียบร้อย เธอก้าวเท้าถอยออกมายืนรวมกลุ่มกับคนที่เหลือ พวกเขาทั้งหมดได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์เกิดขึ้นตรงหน้านี่เอง


ตัวอักษรสี่ห้าแถวนั้นเดิมทีเป็นสีแดง ทว่าหลังจากจงจิ่งอี๋ถอยออกมามันก็เริ่มเข้มขึ้นครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ เลือนหายไปในชั้นดิน เนินดินได้อันตธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย ขึ้นบันไดที่ทอดลงไปด้านล่างปรากฎขึ้น


พวกเขามองเข้าไปในความมืดเบื้องหน้าด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด โต้วฟ่านเซิงลอบสังเกตสองหนุ่มกับหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่ม ดูท่าทางแล้วคนจากตระกูลใหญ่พวกนี้ไม่น่าจะเคยลงข้างล่างมาก่อน แต่ถึงอย่างนั้นก็ประมาทไม่ได้ เขาลอบมีความหวังเล็ก ๆ สายหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ


…หากว่าไม่มีอะไรผิดพลาด แผนการของเขาอาจจะสำเร็จก็ได้


ยืนทำใจกันอยู่เกือบหนึ่งนาที จงจิ่งอี๋หยิบยันต์ออกมา เมื่อปล่อยมืออกมันลอยเอื่อยอยู่ข้างกายเธอครู่หนึ่ง ก่อนจะลอยวนมาหยุดข้างกายของอีกสามคนที่เหลือ แผ่นยันต์ตั้งตรงราวกับเทพพิทักษ์ เมื่อเห็นว่าพวกเขาได้รับการคุ้มครองจากภูติรับใช้ จงจิ่งอี๋ก็ตั้งท่าจะเดินเข้าประตูไปคนแรก


“เดี๋ยวก่อน” สวีเซี่ยคว้าแขนของเธอเอาไว้ “ผมจะเข้าไปก่อน ส่วนคุณตามหลัง”


“ไม่เอาค่ะ” จงจิ่งอี๋ปฏิเสธทันที “คนที่รับมือกับของพวกนี้ได้เป็นฉัน ไม่ใช่คุณ เพราะฉะนั้นฉันลงก่อน คุณตามหลังมา”


ไม่รอให้อีกฝ่ายได้คัดค้าน จงจิ่งอี๋สะบัดแขนออกแล้วเดินเร็ว ๆ ลงบันไดไป สวีเซี่ยได้แต่สบถอย่างหงุดหงิด หันไปสั่งการหวังอันก่อนจะรีบเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในความมืด โต้วฟ่านเซิงเดินตามเข้าไปเป็นคนที่สาม และปิดท้ายด้วยหวังอัน 


ในหลุมอันมืดมิดได้แต่เพียงอาศัยแสงสว่างจากไฟฉายแรงสูงช่วยนำทาง เมื่อลองส่องดูรอบ ๆ จะพบว่าด้านข้างเป็นผนัง มีลวดลายภาพวาดและตัวอักษรสลักเอาไว้ตลอดทาง นี่เป็นทางเดินขนาดไม่กว้างมากนัก กะคร่าว ๆ ว่ายืนเต็มทางนี่ก็ประมาณคนครึ่ง


พวกเขาเดินอยู่ในความมืดที่ดูราวกับจะไม่มีที่สิ้นสุดไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางความเงียบนี้ทำให้ดูเหมือนเวลาผ่านไปนาน ทว่าสวีเซี่ยที่นับลมหายใจของตนเองอยู่ตลอดเวลาค้นพบว่าเพิ่งผ่านได้ไม่กี่นาทีเท่านั้น อย่างไรก็ดี สำหรับคนที่ไม่คุ้นชินอาจจะเกิดความวิตกกังวลได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เพิ่งจะลงสุสานเป็นครั้งแรก ทั้งยังเป็นคนนอกวงการเช่นหวังอัน


ชายหนุ่มขมวดคิ้วแน่น เส้นประสาทตึงเครียด สมาธิจดจ่อกับสถานการณ์รอบกาย บางครั้งยังได้ยินแว่วมาจากที่ไกล ๆ คล้ายเสียงลม บางทีก็เป็นเสียงกระซิบเหมือนมีคนกำลังคุยกันอยู่ข้างหู เขาพยายามปลอบใจตัวเองว่าคิดมากไปเอง อีกทั้งสถานที่สกปรกเช่นนี้ย่อมทำให้เกิดอาการหวาดผวาได้ง่าย แต่สำหรับคนธรรมดาแบบเขา การสามารถประคองสติมาได้นานเกินมาหลายนาทีเช่นนี้ นับว่าสุดความสามารถแล้วจริง


ตอนนั้นเองที่แผ่นหลังสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของอะไรบางอย่าง…


หวังอันเหงื่อตก ร่างกายรู้สึกถึงความหนาวเย็นที่ค่อย ๆ แผ่ลามไปทั่ว จะถอยหลังกลับตอนนี้ก็ไม่กล้า นอกจากจะดูไม่ดีแล้วยังเป็นการหยามหน้าตัวเองและหน้าที่ของตำรวจอีกด้วย เขากลืนน้ำลายก่อนจะอ้าปากเปล่งเสียงเรียกคนด้านหน้า พยายามหาอะไรทำเบ่งเบนความหวาดกลังของตนเอง


“หัวหน้าครับ…” ชายหนุ่มพยายามควบคุมไม่ให้เสียงของตัวเองสั่น “พวกเราเดินกันมาได้สักพักแล้ว ทำไมยังไม่ถึงข้างล่างอีก”


“สุสานส่วนใหญ่ต้องขุดลึกลงไปพอสมควร ฉะนั้นนี่อาจจะยังไม่ถึงหนึ่งในสามของเส้นทางด้วยซ้ำ” สวีเซี่ยตอบอีกฝ่าย ขณะเดียวกันนั้นก็ลอบสังเกตผนังด้านข้าง แม้ภาพวาดบนนั้นจะคล้ายกันทว่าก็ไม่มีเหมือนกันเสียทีเดียว…หรือว่าพวกเขากำลังเดินวนเป็นวงกลม


“อาจิ่ง” สวีเซี่ยเรียกคนที่จู่ ๆ ก็หยุดเดินกะทันหัน ชายหนุ่มมองเห็นจงจิ่งอี๋ค่อย ๆ หันหน้ากลับมา สีหน้าเคร่งเครียดอย่างที่ไม่ค่อย ๆ ได้เห็นในเวลาปกติ นี่แสดงว่าพวกเขาอาจจะมีปัญหาแล้วจริง ๆ


“พอพวกคุณพูดขึ้นฉันก็นึกขึ้นมาได้” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมายิ่งเคร่งขรึม ดูผิดปกติจนชวนให้หวั่นใจ “ฉันรีบร้อนเกินไปกลัวว่าจะทำภารกิจวันนี้ไม่สำเร็จ เลยลืมไปเสียสนิท”


จงจิ่งอี๋อธิบายการลงสุสาน ‘แบบถูกวิธี’ ให้พวกเขาฟัง ก่อนจะเข้าประตูสุสานทุกครั้งต้องทำพิธีบอกกล่าวฟ้าดินเสียก่อน นี่ก็เพื่อบอกให้รู้ว่าการเข้ามาเยี่ยมเยียนครั้งนี้มีเจตนาดี ไม่ได้คิดจะมาล่วงเกินแต่อย่างใด ทั้งนี้ก็เพื่อให้สามารถลงสุสานได้อย่างสะดวก ไม่ต้องเจอกับดักหรือผู้พิทักษ์สุสานตนใดออกมาต้อนรับ


คนที่เหลือฟังแล้วก็แสดงอาการออกมาแตกต่างกันไป ทว่าจงจิ่งอี๋สังเกตเห็นความกลัวสายหนึ่งพาดผ่านดวงตาของหวังอัน ดูท่าว่าเจ้าตัวคงนึกโยงคำพูดเมื่อครู่นี้ เข้ากับสิ่งที่อยู่ด้านหลังเป็นแน่แล้ว


สำหรับผู้ฝึกวิชานั้น สมรรถภาพทางร่างกายย่อมมีประสิทธิภาพมากกว่าคนทั่วไป แต่อย่างมากก็พอจะมองเห็นในความมืดได้บ้าง มิใช่การมองเห็นได้อย่างชัดเจนเช่นจงจิ่งอี๋


หลังจากผ่านพ้นความตายมาหลายครั้ง เธอพบว่าประสาทสัมผัสต่าง ๆ ของร่างกายล้วนดีขึ้นมากอย่างน่าตกใจ ทั้งดวงตาที่เริ่มมองเห็นได้อย่างชัดเจนในความมืด หรือแม้แต่การจับต้องวิญญาณราวกับคนเป็น และในฐานะของผู้สืบทอดวิชาของตระกูลนักพรตผู้ปราบวิญญาณร้าย มีหลายครั้งที่หญิงสาวคิดว่าคงจะดีหากได้ใช้สิ่งนี้ทำประโยชน์อะไรได้บ้าง ทว่าเธอเหมือนจะมองโลกในแง่ดีเกินไปหน่อย


“บะ แบบนั้นก็หมายความว่า พวกเรา อะ อาจจะเจอกับผีพวกนั้น…” หวังอันเอ่ยเสียงสั่นเล็กน้อย ตอนนี้เขาแทบจะข่มความกลัวเอาไว้ไม่อยู่แล้ว


“ฉันยังไม่ได้บอกเลยนะคะว่าผู้พิทักษ์สุสานเป็นวิญญาณ” จงจิ่งอี๋แก้ความเข้าใจผิดของอีกฝ่าย “โดยทั่วไปแล้ววิญญาณด้านนอกนั่นไม่สามารถเข้ามาในพื้นที่สุสานได้หรอกค่ะ”


…เพราะการล้ำเข้ามาในอาณาเขตที่มีเจ้าของนั้น ย่อมต้องมีค่าตอบแทนที่สาสม


“ส่วนที่อยู่ด้านหลังคุณไม่ใช่ผู้พิทักษ์สุสาน แต่น่าจะเป็นวิญญาณผู้รับใช้เจ้าของสุสานนี้มากกว่า”


สิ้นประโยคนั้นก็มีเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจดังขึ้น ตามมาด้วยร่างที่วิ่งพุ่งตรงเข้าไปในสุสานอย่างไม่คิดชีวิต

Comment

  • ไม่มีคอมเม้น